สัมภาษณ์
"พรรณสิรี อมาตยกุล" อีกหนึ่งผู้บริหารหญิงของไอบีเอ็ม ทายาทของ "สมภพ อมาตยกุล" ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดคนไทยคนแรกของไอบีเอ็ม ประเทศไทย ชื่อของเธออาจไม่คุ้นหูเท่า "ศุภจี สุธรรมพันธุ์" หญิงแกร่งจากไอบีเอ็มที่ก้าวขึ้นถึงตำแหน่งผู้ช่วยซีอีโอใหญ่ของ ไอบีเอ็ม "แซม พลามมิซาโน"
แต่อาจเรียกว่าเส้นทางการเติบโตของ "พรรณสิรี อมาตยกุล" ไม่แตกต่างจาก "ศุภจี สุธรรมพันธุ์" เท่าไหร่นัก นับเป็น ลูกหม้อไอบีเอ็มที่มีการเติบโตในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็ว หลังจากคลุกคลีดูแลกลุ่มลูกค้าไฟเนนซ์มากว่า 10 ปี จากนั้นก็ได้รับมอบหมายไปเป็นผู้ช่วยมือขวาของผู้จัดการทั่วไปอาเซียน เรียนรู้งานในระดับภูมิภาคประมาณ 1 ปี ก่อนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง sector service executive รับผิดชอบธุรกิจเซอร์วิสของภูมิภาคเอเชียใต้ประมาณ 1 ปี
จากนั้นก็ได้นั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอบีเอ็ม โซลูชั่นส์ ดิลิเวอรี่ จำกัด ดูแลธุรกิจเอาต์ซอร์ซ
และเมื่อ 1 มกราคม 2551 ก็มารับตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจทั่วไป บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ซึ่งทำงานประสานโดยตรงกับ "ศุภจี สุธรรมพันธุ์" ที่เวลานั้นก็เป็นรองประธานกลุ่มธุรกิจทั่วไป ประจำภูมิภาคอาเซียน
นอกจากนี้ "พรรณสิรี" ยังมีภารกิจเป็น IBM Thailand woman council leader ในการวางแผนพัฒนาศักยภาพของผู้หญิงไอบีเอ็มให้มีทักษะ ความรู้ความสามารถ พร้อมขึ้นสู่ระดับผู้บริหาร
ด้วยประสบการณ์และความสามารถ ทำให้หลายคนจับตามองว่า "พรรณสิรี อมาตยกุล" อาจจะเป็น "ศุภจี 2" คนต่อไป
"ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสสัมภาษณ์อย่างใกล้ชิดในหลากหลายแง่มุมของผู้หญิงแถวหน้าแห่งยักษ์สีฟ้า
- วางแผนรับมือกับภาวะวิกฤตอย่างไร
ดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ สิ่งสำคัญคือการใช้เวลาอยู่กับลูกค้ามากที่สุด สิ่งที่ผู้บริหารไอบีเอ็มให้ความสำคัญคือ What value yo- give to customer ไม่ใช่ดูตัวเลข ตอนนี้ลูกค้าต้องการความช่วยเหลือจากเรา เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ช่วงนี้ทำอะไรให้ลูกค้าได้ก็จะทำให้มากที่สุด
- กลุ่มธุรกิจทั่วไปที่ดูแลครอบคลุมอะไรบ้าง
กลุ่มธุรกิจทั่วไป หรือเจเนอรัลบิสซิเนส (จีบี) ของไอบีเอ็ม จะครอบคลุมทั้งในส่วนของลูกค้าขนาดใหญ่และธุรกิจเอสเอ็มบี นอกเหนือจาก 3 เซ็กเตอร์หลัก คือ ไฟแนนซ์, เทเลคอม และ อินดัสเตรียล แอนด์ดิสทิบิวชั่น ซึ่งจะมีผู้บริหารดูแลโดยเฉพาะที่มีฐานลูกค้ารายใหญ่ประมาณ 50 ราย และส่วนที่เหลือทั้งหมดจะอยู่ในความดูแลของกลุมจีบี ซึ่งธุรกิจในเมืองไทยจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ประมาณ 1.1 หมื่นบริษัท และธุรกิจขนาดกลางและเล็กประมาณ 2 ล้านบริษัท ทำให้ขอบเขตการดูแลของกลุ่มจีบีค่อนข้างกว้าง
กลุ่มลูกค้ารายใหญ่และธุรกิจขนาดกลาง (mid market) จะมีแคแร็กเตอร์ที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนมีความต้องการเหมือนกันในภาวะเช่นนี้ คือ ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือไม่เพิ่มค่าใช้จ่าย แต่สามารถขยายธุรกิจได้ นั่นคือโจทย์ของไอบีเอ็ม เพราะลูกค้าไม่ได้หยุดการใช้จ่ายไอที แต่โฟกัสเรื่องแบบนี้
ขณะที่ลูกค้าขนาดใหญ่หลายคนมองว่าเป็นเวลากลับไปดูแลหลังบ้าน ลดต้นทุน และรอเวลาเมื่อเศรษฐกิจฟื้น
- ความท้าทายในการทำงานปีนี้
ปีนี้การทำธุรกิจยากขึ้น อย่างแรกคือ ทำให้ทีมมีพลังเต็มเปี่ยมเหมือนปีที่ผ่านมา เพราะทุกครั้งที่อ่านหนังสือพิมพ์จะเห็นข่าวไม่ดี จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะรู้สึกไม่ดี หรือไม่มั่นใจในตัวเอง ถ้าทีมยังมีพลังเต็มพันอย่างที่เคยมี เขาจะมีพลังออกไปช่วยลูกค้า ไปช่วยแก้ปัญหาลูกค้า ดังนั้นตอนนี้ที่โฟกัสมากคือรักษาให้ทีมยังเดินหน้าต่อไปได้
เพราะสภาพเศรษฐกิจปีที่ผ่านมาทำให้หลายบริษัทประสบปัญหา แต่ด้วยพลังของทีมปีที่ผ่านมากลุ่มจีบีของไอบีเอ็มยังสามารถ เติบโตก้าวกระโดดได้ เพราะนอกจากการรักษาฐานลูกค้าเดิมแล้ว บริษัทได้ลูกค้าใหม่เข้ามาด้วย อย่างกรณีของกลุ่มไมเนอร์
- กับบทบาทของ IBM Thailand woman council leader
ไอบีเอ็มมีนโยบายในการสนับสนุนให้ ผู้หญิงขึ้นมาเป็นผู้บริหารเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็มีสัดส่วนผู้หญิงประมาณ 45% ก็เป็นไปตามนโยบายของบริษัทแม่ แต่พอผู้หญิงที่ก้าวสู่ระดับผู้บริหารก็จะยังมีความท้าทาย ดังนั้นจึงต้องวางโปรแกรมที่จะมาช่วยให้ ผู้หญิงสามารถก้าวขึ้นมาทำงานในระดับบริหารได้อย่างมีความสุข
เพราะวันนี้ไอบีเอ็มมองเรื่องโกลบอลอินทิเกรเต็ดเอ็นเตอร์ไพรส์ (จีไออี) คือการมองภาพไอบีเอ็มทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียว และโครงสร้างการทำงานก็ไม่ได้แยกเป็นประเทศ ฝ่ายซัพพอร์ตไม่จำเป็นต้องมีเหมือนๆ กันทุกประเทศ อย่างงานด้านการทำฮิวแมนรีสอร์ตของไอบีเอ็มทั่วโลกก็จะอยู่ที่ฟิลิปปินส์ ฝ่ายบัญชีก็อยู่ที่มาเลเซีย ดังนั้นเรื่องของคนก็เปลี่ยนไป
ตอนนี้ไอบีเอ็มไม่ใช่บริษัทอเมริกัน แต่เป็นบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล อยู่ที่ไหนก็ได้ แต่เมื่อธุรกิจอยู่ที่ไหนก็ได้ คนอยู่ที่ไหนก็ต้องทำงานได้เช่นกัน เพราะมีคนเก่งอยู่ในประเทศเล็กๆ จำนวนมาก บริษัทแม่ก็มองว่าต้องให้โอกาสเท่าๆ กัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนสามารถที่จะเข้ามามีส่วนร่วม หรือเป็นหัวหน้าโปรเจ็กต์ได้ โดยไม่มีขอบเขตของประเทศมาขวางกั้น
แต่การทำงานของผู้หญิงจะ suffer มากกว่า ในการที่จะต้องรับผิดชอบบริหารงานข้ามชาติ ต้องเดินทางไปประเทศต่างๆ ดังนั้นเราก็ต้องวางแผน เตรียมพร้อม ต้องเรียนรู้ว่าต้องมีจุดแข็งอะไรบ้างในการขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูง
- สิ่งที่จะสร้างให้ผู้หญิงก้าวขึ้นระดับบริหาร
ไอบีเอ็มจะมีโปรแกรมซัพพอร์ตตั้งแต่เด็กไปจนโต อย่างปีที่ผ่านมาบริษัทแม่ได้ซื้อคอร์สการเรียนรู้ชื่อ "taking the state" เพื่อสอนพนักงานหญิงในการขึ้นสู่เวทีการเป็นผู้นำ อันดับแรก คือต้องตัดสินใจก่อนว่าตัวเองต้องการเป็นผู้นำ และปลดล็อกวิธีคิดต่างๆ รวมถึงหลักสูตรวิธีการพูดในห้องประชุม การพรีเซนต์งานกับลูกค้า หรือวิธีการออกเสียง เพราะวัฒนธรรมไทยที่สอนให้ผู้หญิงอ่อนหวาน เสียงเบา ทำให้เวลาอยู่ในห้องประชุมไม่มีพาวเวอร์ ทำให้จูงใจคนฟังได้น้อยลง เป็นต้น นี่คือหลักสูตรพื้นฐานสำหรับพนักงานผู้หญิง
แต่ถ้าคนที่เตรียมขึ้นระดับบริหาร เช่น ต้องการเรียนรู้ว่างานระดับภูมิภาคต้องทำอะไรบ้าง ไอบีเอ็มก็จะมีโปรแกรมพี่เลี้ยง (เมนเตอร์) ที่จะมาดีไซน์ร่วมกันหาจุดอ่อนจุดแข็งคืออะไร ต้องพัฒนาทักษะอะไร
- วางเป้าหมายในการทำงานอย่างไร
อยู่ไอบีเอ็มต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับไอบีเอ็ม ไม่สนใจว่าคุณจะทำงานอยู่ตรงไหน แม้ว่าจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าอยู่ที่ไหน คือไอบีเอ็ม และลูกค้าต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก อย่างที่มาดูธุรกิจเจเนอรัล บิสซิเนสก็เพราะต้องการให้เรามาช่วยวางโครงสร้าง ทำให้เจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด เมื่อเราทำได้แข็งแรง ต่อไปก็อาจจะไปที่อื่นๆ แทน อยู่ที่ไหนก็คือไอบีเอ็ม อย่างพอได้ไปเรียนรู้งานระดับภูมิภาค ก็ทำให้เห็นภาพที่กว้างขึ้น
- เคยฝันจะทำหน้าที่ในตำแหน่งเดียวกับคุณพ่อหรือไม่
ปัจจุบันไอบีเอ็มมีโครงสร้างการทำงานที่เปลี่ยนไปจากอดีต ถ้าถามว่าฝันไหม ไม่ยึดแบบนั้น เพราะเราสามารถเจริญเติบโตขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูงในไอบีเอ็มได้ในหลายๆ แนวทาง โดยไม่ต้องยึดติดกับคันทรีโพซิชั่น ในไอบีเอ็มมีโอกาสมาก
- มีโอกาสเติบโตในเส้นทางเดียวกับคุณ ศุภจี (สุธรรมพันธุ์)
ก็มีโอกาส เพราะโอกาสมีเสมอใน ไอบีเอ็ม แต่ไม่รู้มาเมื่อไหร่ ไอบีเอ็มมีโอกาสเยอะ คุณศุภจีได้เป็นผู้ช่วยคุณแซม ที่ผ่านมาตัวเองก็เคยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปอาเซียน เป็นการพัฒนาคล้ายๆ กัน แต่คุณศุภจีได้ไปมีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาที่สำนักงานใหญ่
ที่มา: matichon.co.th