มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอเฟซบุ๊ก ซีอีโอเครือข่ายสังคมยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) เปิดตัวโปรเจกต์ใหม่เพื่อชาวโลกที่ยังไม่มีโอกาสออนไลน์ จับมือกับค่ายผู้ผลิตอุปกรณ์อย่างซัมซุง (Samsung Electronics) และผู้ผลิตชิปอย่างควอลคอมม์ (Qualcomm) พร้อมกับบริษัทไอทีรายอื่นอีก 4 แบรนด์ จัดตั้งโครงการ “อินเทอร์เน็ตดอตโออาร์จี (Internet.org)” เพื่อพัฒนาสมาร์ทโฟนหลากรุ่นให้ชาวโลก 5 พันล้านคนสามารถเล่นอินเทอร์เน็ตได้อย่างทั่วถึง มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอเฟซบุ๊กเปิดตัวโครงการใหม่ของบริษัทในชื่อ Internet.org อย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่ากลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการนี้คือ 2 ใน 3 ของประชากรโลกซึ่งยังไม่สามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ จุดประสงค์ใหญ่ของโครงการ Internet.org คือการทำให้ประชาชนกลุ่มนี้มีช่องทางใช้งานอินเทอร์เน็ตได้สะดวก ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ทุกคนในประเทศโลกที่ 3 ซึ่งมีระบบออนไลน์อยู่แล้ว สามารถใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตได้แบบทั่วถึงกว่าเดิม
อีก 4 บริษัทที่เข้าร่วมโครงการนี้คือ อีริคสัน (Ericcson), มีเดียเทก (MediaTek), โนเกีย (Nokia) และโอเปราซอฟต์แวร์ (Opera Software) โดยบริษัทไอทีรายใหญ่เหล่านี้จะร่วมกันพัฒนาอุปกรณ์หลากรุ่น และระบบหรือเครื่องมือพิเศษเพื่อให้ประชาชนผู้ด้อยโอกาสได้ออนไลน์ทั่วถึง
โครงการนี้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับโครงการที่กูเกิล (Google) เคยเปิดตัวเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ครั้งนั้นกูเกิลสร้างสรรค์โครงการชื่อ “โปรเจกต์ลูน (Project Loon)” โดยพัฒนาเรือเหาะที่มีลักษณะคล้ายบอลลูนทรงเครื่องบินเพื่อให้ลอยอยู่เหนือน่านฟ้าเกาะใต้ของประเทศนิวซีแลนด์ (South Island) จุดประสงค์ของโครงการนี้คือการปล่อยเครือข่าย Wi-Fi ออกจากบอลลูนเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งระบบทั้งหมดจะทำงานโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์
โครงการของกูเกิลยังอยู่ในช่วงนำร่องซึ่งจะต้องนำข้อผิดพลาดไปพัฒนาระบบต่อไป อย่างไรก็ตาม กูเกิลยืนยันว่าจะไม่มีปัญหา “เครื่องบินชนบอลลูน” แน่นอน เนื่องจากบอลลูน Wi-Fi นี้บินเหนือจากพื้นดินมากกว่า 12.5 ไมล์ ซึ่งคิดเป็นระยะทาง 2 เท่านับจากระดับชั้นบรรยากาศที่เครื่องบินเดินทางผ่าน
สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า การผลักดันให้ชาวโลกมีสัดส่วนการออนไลน์มากขึ้นนั้นถือเป็นทิศทางที่บริษัทไอทีทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยไม่เพียงกูเกิล และเฟซบุ๊ก ยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft) ก็พยายามหาทางเพิ่มจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตให้มากขึ้นด้วยการร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนในประเทศโลกที่ 3 เพื่อร่วมมือผลักดันให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตได้ทั้งด้านการศึกษาและในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างเช่น ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาไมโครซอฟท์ร่วมมือกับรัฐบาลเคนยาและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศ ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในย่านความถี่พิเศษผ่านสถานีฐานพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการระยะยาวที่ไมโครซอฟท์จะเดินหน้าต่อเนื่องในแอฟริกา
แม้จะยังไม่มีรายละเอียดว่าความร่วมมือที่เกิดขึ้นในโครงการ Internet.org จะปรากฏในรูปแบบใด แต่ซีอีโอเฟซบุ๊กยืนยันว่ากลุ่มจะพยายามสร้างสรรค์สมาร์ทโฟนราคาประหยัด พร้อมกับการประสานงานโอเปอเรเตอร์ในท้องถิ่น ขณะเดียวกันก็จะร่วมกันวิจัยและพัฒนาร่วมกับบริษัทพันธมิตรเพื่อทำให้แอปพลิเคชันหรือบริการออนไลน์ต่างๆ เรียกใช้ปริมาณข้อมูลหรือดาต้าน้อยลง โดยอาจจะพัฒนาในรูปเครื่องมือบีบอัดข้อมูลหรือเครือข่ายข้อมูลที่สามารถจัดการดาต้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงระบบทั่วไปที่จะทำให้แอปพลิเคชันสามารถใช้งานดาต้าน้อยลง ซึ่งจะช่วยให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการออนไลน์ลดลงไปด้วย
วันนี้ เว็บไซต์ Internet.org นั้นเปิดให้บริการแล้ว ซึ่งแม้จะเผยแพร่รายละเอียดการทำงานอย่างคร่าวๆ แต่ก็ไม่มีการเปิดเผยงบประมาณในโครงการที่เกิดขึ้น จุดนี้ซีอีโอเฟซบุ๊กระบุเพียงว่าบริษัทได้ลงทุนไปมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อช่วยให้ชาวโลกออนไลน์ได้เพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และเฟซบุ๊กมีแผนจะลงทุนเพิ่มอีกเพื่อต่อยอดให้ชาวโลกได้มีโอกาสออนไลน์ให้มากขึ้นอีก
ปัจจุบันประชากรออนไลน์ทั่วโลกนั้นมีจำนวนเพียง 2.7 พันล้านคน คิดเป็น 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรทั่วโลก โดยอัตราการเติบโตของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนั้นเริ่มอิ่มตัว เนื่องจากพบว่าปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตของประชากรโลกนั้นเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 9% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ควรได้รับการสนับสนุนอย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ สถิติล่าสุดระบุด้วยว่าเฟซบุ๊กมีจำนวนผู้ใช้งานต่อวันมากกว่า 699 ล้านคน (ตัวเลขเฉลี่ยประจำเดือนมิถุนายน 2013) โดย 80% เป็นผู้ใช้ที่มาจากประเทศอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐฯ และแคนาดา จุดนี้ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าโอกาสหลักของเฟซบุ๊กนั้นอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งทำให้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากเฟซบุ๊กจะทุ่มทุนสร้างเพื่อให้โลกมีประชากรออนไลน์เพิ่มขึ้น
ที่มา: pantip.com