ตลาดหุ้นบริษัทเทคโนโลยีหงอยหลังยักษ์ใหญ่กูเกิล (Google) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) ประกาศกำไรพลาดเป้าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ โดยเฉพาะไมโครซอฟท์ที่หุ้นหล่นฮวบ 11% ที่ตลาดแนสแดคเมื่อวันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมาหลังจากประกาศขาดทุน 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพราะธุรกิจแท็บเล็ต Surface ขณะที่หุ้นกูเกิลลดลงเล็กน้อย 1.6% เพราะรายได้รวมที่พลาดเป้า รวมถึงผู้ผลิตชิปอย่างเอเอ็มดี (AMD) ที่มีผลประกอบการน่าเป็นห่วง มูลค่าหุ้นไมโครซอฟท์ลดลง 11% เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2013 ว่ามีรายได้ 1,99 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แม้จะเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน แต่กำไรสุทธิของไมโครซอฟท์นั้นอยู่ที่ 4.97 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดกันไว้ ผลจากการขาดทุนเพราะธุรกิจจำหน่ายแท็บเล็ต Surface ราว 900 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมกับอัตราการเติบโตของรายได้จากระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (Windows) ที่ลดลง
ไมโครซอฟท์ระบุว่าสินค้ากลุ่มวินโดวส์นั้นมีรายได้เพิ่มขึ้น 6% แต่อัตราเติบโตนี้ลดลงเมื่อเทียบจากการเติบโตที่ทำได้ในไตรมาสที่ผ่านมา รายได้วินโดวส์ที่ลดลงนี้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผลกระทบจากตลาดพีซีโลกที่ถดถอย นักลงทุนจึงแสดงความไม่เชื่อมั่นผ่านมูลค่าหุ้นไมโครซอฟท์ที่ลดลงเหลือ 31.40 เหรียญสหรัฐ แม้ว่าหลายธุรกิจของไมโครซอฟท์จะมีแนวโน้มที่ดี ทั้งบริการและผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าองค์กร บริการคลาวด์คอมพิวติง บริการออนไลน์อย่าง Office 365, Outlook.com และ Skype รวมถึงสินค้าและบริการในกลุ่มเกมอย่าง Xbox LIVE แลพ Xbox มีรายได้เพิ่มขึ้น 8%
ด้านคู่แข่งอย่างกูเกิล มูลค่าหุ้นโดยรวมนั้นลดลง 14.08 เหรียญคิดเป็น 1.6% เหลือ 896.60 เหรียญสหรัฐ เนื่องจากกูเกิลประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ของปี 2013 ว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น แต่มีกำไรลดลง
กูเกิลระบุว่าตลอด 3 เดือน (เมษายน-มิถุนายน 2556) บริษัททำรายได้รวม 1,41 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน อย่างไรก็ตาม กูเกิลระบุว่ากำไรสุทธิของบริษัทมีมูลค่า 3.23 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากที่เคยทำได้ 3.36 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2012
หนึ่งในความไม่เชื่อมั่นที่นักลงทุนกังวลกับอนาคตของกูเกิล คือการที่กูเกิลประกาศว่าจะเน้นเพิ่มรายได้ด้วยการดันอัตราค่าโฆษณาตามคลิกหรือ costs per click ให้สูงขึ้น จุดนี้สวนทางกับการสำรวจล่าสุดที่หลายบริษัทพบว่าอัตรา CPC นั้นเพิ่มขึ้นแล้ว 6% ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 21.2% มีเพียงกูเกิลที่ราคา CPC ลดลง 6%
สำหรับไตรมาสที่ผ่านมา กูเกิลมีรายได้หลักจากโฆษณาบนหน้าเว็บกูเกิล (คิดเป็น 68% ของรายได้รวม) รายได้ส่วนนี้เพิ่มขึ้น 18% ในส่วนธุรกิจแอยดรอยด์ (Android) กูเกิลระบุว่าปัจจุบันมีการเปิดใช้อุปกรณ์แอนดรอยด์ใหม่วันละ 1.5 ล้านเครื่อง และขณะนี้ ชาวแอนดรอยด์ลงมือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันและคอนเทนต์ผ่าน Google Play มากกว่า 5 หมื่นล้านครั้งแล้ว
ในส่วนผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์อย่างเอเอ็มดี มูลค่าหุ้นเอเอ็มดีลดลง 61 เซนต์หรือคิดเป็น 13.2% เหลือ 4.03 เหรียญสหรัฐ โดยเอเอ็มดีประกาศขาดทุนสุทธิ 65 ล้านเหรียญสหรัฐเนื่องจากความต้องการในตลาดพีซีที่ลดลง โดยรายได้รวมของเอเอ็มดีลดลง 18% เป็น 1.16 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ยังมีอินเทล (Intel) ที่รายงานผลประกอบการไม่น่าปลื้มเท่าใดนัก โดยระบุว่าไตรมาสที่ 2 ของปี 2013 บริษัททำรายได้ลดลง 5% คิดเป็นมูลค่า 1,28 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยกำไรสุทธิลดลง 29% เหลือ 2 พันล้านเหรียญ หรือแม้แต่ไอบีเอ็ม (IBM) ยักษ์ใหญ่สีฟ้าที่มีรายได้ลดลงเช่นกัน
ไอบีเอ็มระบุว่าสามารถทำรายได้ลดลง 3% เป็น 2,49 หมื่นล้านเหรียญ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขาดทุนค่าเงินซึ่งไอบีเอ็มระบุว่าหากไม่คำนวณในส่วนนี้ รายได้ของไอบีเอ็มจะลดลง 1% เท่านั้น ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทลดลง 17% เหลือ 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ที่มา: manager.co.th