แฮรี่ หยาง เอเซอร์ปรับโครงสร้างภายในตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ หวังสร้างความชัดเจน ขณะเดียวกันตั้งเป้าเติบโตปีนี้ 25% จากปีที่ผ่านมาโตเพียง 10% จากที่เดิมตั้งเป้าไว้ 20% เชื่อโน้ตบุ๊กบางเบา แบตอึด ยังได้รับความนิยม แฮรี่ หยาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวถึงเทรนด์แนวโน้มเทคโนโลยีในปีนี้ว่าผู้ใช้จะเน้นไปที่เครื่องบางเบา สามารถใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกอย่างเชื่อมเข้าหากัน เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ส่งผลให้ต้องการแชร์คอนเทนต์จากทุกๆดีไวซ์
'โน้ตบุ๊กไลน์ปกติ จะบางลงเรื่อยๆ พร้อมกับระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนานขึ้น โดยเอเซอร์ จะเน้นที่ตลาดแท็บเล็ต และโน้ตบุ๊ก บนทั้ง 2 ระบบปฏิบัติการ จากความนิยมของแอนดรอยด์ และวินโดวส์ โดยใช้ร่วมกับการจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ ซึ่งเอเซอร์ได้ทุ่มทุนเพื่อให้บริการเอเซอร์ คลาวด์ แก่ลูกค้าทั้งในแง่ของคอนซูเมอร์ และคอมเมอร์เชียลที่ใช้ชื่อว่า เอเซอร์ อีดีซี (Acer eDC) ซึ่งมีให้บริการทั้งแบบพับบลิค และไพรเวท' ขณะที่เทรนด์ในฝั่งคอมเมอร์เชียล คือ การมาของข้อมูลปริมาณมหาศาล (Big Data) ทำให้ต้องมีอินฟราสตรักเจอร์ที่รองรับการส่งไฟล์ขนาดใหญ่ขณะเดียวกันก็ต้องการความปลอดภัยของข้อมูลที่ถูกส่งไปเก็บไว้ในดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย
'ลูกค้าองค์กร มีความต้องการแท็บเล็ตที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์มากกว่า ทำให้หวังว่าเมื่อวินโดวส์ 8 ที่พร้อมใช้งานบนแท็บเล็ตเข้ามา น่าจะทำให้เอเซอร์มีความมั่นใจในการทำตลาดส่วนนี้มากขึ้น เพราะปัจจุบันแม้ไม่ทำการโปรโมท แต่กลุ่มลูกค้าองค์กรก็ให้ความสนใจอยู่แล้ว' โดยภาพรวมตลาดพีซี ไอดีซีคาดว่าในปี 2555 จะมีอัตราการเติบโต 10% ขณะที่ตลาดรวมในประเทศไทยคาดว่าจะเติบโต 7-10% คิดเป็นยอดจำหน่ายพีซีในปีนี้ราว 4.1 ล้านเครื่อง ซึ่งในช่วงไตรมาส 1 -3 ปี 2554 เอเซอร์มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยอยู่ที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ โน้ตบุ๊ก 31% และเดสก์ท้อป 26%
'ในส่วนของการเติบโตปีที่ผ่านมา ในกลุ่มของโน้ตบุ๊ก และเน็ตบุ๊ก มีการเติบโตราว 20% เดสก์ท้อป 9% จอแอลซีดี และโปรเจกเตอร์ อย่างละ 5% ส่วนเป้าหมายในปีนี้โน้ตบุ๊กและเน็ตบุ๊กคาดว่าจะเติบโตราว 30% เดสก์ท็อป 15% จอแอลซีดี 15% และโปรเจกเตอร์ 30% หรือคิดโดยรวมคือ 25%'
นอกจากนี้ เอเซอร์ยังมีการปรับโครงสร้างภายในดึงจุดแข็งของแต่ละทีมมารวมกัน โดยดูจากตัวผลิตภัณฑ์เป็นหลักคือ กลุ่มโมบิลิตี้ โฟกัส โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน กลุ่มเดสก์ท็อป และอุปกรณ์ต่อพ่วง กลุ่มคอมเมอร์เชียล สำหรับลูกค้าองค์กร และกลุ่มบริการ เพื่อให้บริการหลังการขายที่ครอบคลุมมากขึ้น
ในส่วนของพาร์ตเนอร์ ก็มีการแบ่งกลุ่มใหม่ออกเป็น ARP (Acer Retail Partner) สำหรับตลาดคอนซูเมอร์ และ APP (Acer Professional Partner) สำหรับตลาดองค์กร ซึ่งยังคงยึดโมเดลขายผ่านช่องทางจำหน่ายเหมือนเช่นเดิม
ขณะเดียวกันยังมีการลงทุนเพิ่มในส่วนของบริการหลังการขาย ที่ล่าสุดมีการขยายระยะเวลาการรับประกันโน้ตบุ๊กเป็น 2 ปี และเดสก์ท้อป 3 ปี พร้อมกับบริการออนไซต์เซอร์วิสสำหรับลูกค้าองค์กร โดยปัจจุบันเอเซอร์มีศูนย์บริการหลักๆ 15 แห่ง รวมกับจุดรับส่งเครื่องจากพาร์ตเนอร์อีก 135 จุดทั่วประเทศ
Company Related Link :
Acer
ที่มา: manager.co.th