เพราะเทรนด์การทำงานแบบโมบิลิตี้ ทำให้ผู้ถือโน้ตบุ๊กต้องการสินค้าที่ น้ำหนักเบาและการใช้แบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น เพื่อความสะดวกในการทำงานนอกสถานที่ แม้ว่าปัจจุบันจะมีโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่ตอบโจทย์ดังกล่าว แต่ผู้ซื้อก็ต้องควักกระเป๋า 7-8 หมื่นบาท จึงยังเป็นอุปสรรคสำหรับผู้บริโภคโดยเฉพาะในยุควิกฤตเศรษฐกิจ
การเกิดขึ้นของโปรเซสเซอร์ Consumer Ultra Low Voltage หรือ CULV จากค่ายอินเทลจึงกลายเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว พร้อมกับเปิดตลาดโน้ตบุ๊ก เซ็กเมนต์ใหม่ในตลาดอีกครั้งหนึ่ง
โดยโน้ตบุ๊กที่ใช้ CULV จะเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างเน็ตบุ๊กและโน้ตบุ๊กทั่วไป แต่จะเป็นโน้ตบุ๊กฟูลฟังก์ชั่นที่มีขนาดบางและเล็ก เพื่อจับกลุ่มคนต้องการดีไซน์ด้วยความบางไม่ถึง 1 นิ้ว และน้ำหนักเบาไม่เกิน 2 กิโลกรัม และมีจุดเด่นด้านการประหยัดพลังงาน กินไฟเพียง 5.5-10 วัตต์ ทำให้สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้นานถึง 8 ชั่วโมง
แต่ประเด็นสำคัญคือ เมื่อต้นทุนของโปรเซสเซอร์ถูกลง จึงทำให้สามารถผลิตโน้ตบุ๊กที่มีน้ำหนัก
เบาและบางอยู่ในระดับราคาที่ผู้บริโภคสามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้น
"เอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ" กรรมการ ผู้จัดการจากอินเทลอธิบายว่า เดิมซีพียู CULV ที่อยู่บนโน้ตบุ๊กเจาะกลุ่มเป้าหมายกลุ่มไฮเอนด์เท่านั้น เพราะสินค้ามีราคา 7-8 หมื่นบาท แต่ครั้งนี้ถือว่า CULV สามารถลงมาอยู่ในตลาดเมนสตรีมและมีราคาที่ผู้บริโภคหาซื้อได้ จึงกลายเป็นเทรนด์ของตลาดและมาตรฐานใหม่ของโน้ตบุ๊กคอนซูเมอร์ในอนาคต ซึ่งคาดว่าในครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นหลายๆ แบรนด์ทยอยนำโน้ตบุ๊กที่ใช้ซีพียู CULV ทยอยออกสู่ตลาดเพื่อเสนอแก่ลูกค้า
จากที่ขณะนี้ "เอเซอร์" ประกาศตัวเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายแรกที่ส่งโน้ตบุ๊กที่ใช้โปรเซสเซอร์ CULV แบบครบไลน์ลงสู่สนามคอนซูเมอร์โน้ตบุ๊ก ภายใต้ชื่อซับแบรนด์ "Aspire Timeline"
ไล่ตั้งแต่แพลตฟอร์มเซลเลอรอนจนถึงคอร์ทูดูโอ หน้าจอขนาด 13-14 นิ้ว จำนวน 11 รุ่น ราคาเริ่มต้นที่ 22,900-56,900 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) พร้อมชูจุดเด่นด้านแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นาน 8 ชั่วโมง และในอนาคตมีแผนจะเปิดตัว "Travelmate Timeline" เพื่อเจาะกลุ่มตลาดคอร์ปอเรตด้วย
"อลัน เจียง" ผู้จัดการทั่วไปจากเอเซอร์ กล่าว่า CULV เป็นวิวัฒนาการของตลาดโน๊ตบุ๊กในขณะนี้ เพื่อทำให้เกิดการใช้งานโมบิลิตี้ที่แท้จริง โดย Timeline เป็นโน้ตบุ๊กที่บางเบา เหมาะกับนักเรียน นักศึกษาผู้หญิง หรือหนุ่มสาวออฟฟิศทั่วไป
"เดิมคนที่สนใจโน้ตบุ๊กบางและเบาต้องจ่ายถึง 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ตอนนี้ฟีเจอร์ทุกอย่างถูกนำมาทำให้ผู้บริโภคหาซื้อได้ในราคาเริ่มต้นที่ ประมาณ 2.29 หมื่นบาทเท่านั้น"
ความมั่นใจในสินค้าว่าจะโดนใจผู้บริโภคส่งผลให้เอเซอร์ตั้งความหวังกับ Timeline สูงถึง 1 หมื่นเครื่องต่อเดือน หรือ 20% ของยอดขายโน้ตบุ๊ก จากปัจจุบันโน้ตบุ๊กและเน็ตบุ๊กของเอเซอร์มียอดขายรวมกันเดือนละ 4 หมื่นเครื่อง
"บุญชัย เงาวิศิษฐ์กุล" รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคอนซูเมอร์จากเอเซอร์ให้เหตุผลว่า Timeline จะเป็นโน้ตบุ๊กที่แทรกอยู่ตรงกลางระหว่างเน็ตบุ๊กกับโน้ตบุ๊กปกติ และเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ของตลาด เพราะแนวโน้มของผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการโน้ตบุ๊กเครื่องที่สองซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 30% ของตลาดรวม เป็นกลุ่มที่มีประสบการณ์ใช้โน้ตบุ๊กมาแล้ว ดังนั้นโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่ที่คนกลุ่มนี้มองหาคือเครื่องที่สามารถใช้แบตเตอรี่ได้ยาวนาน มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา
"เซ็กเมนต์นี้จะไม่ทับไลน์กับโน้ตบุ๊กที่เอเซอร์มีอยู่ในตลาด เพราะคนละกลุ่มเป้าหมายกัน โน้ตบุ๊กรุ่นปกติเน้นกลุ่ม ผู้ต้องการประสิทธิภาพการทำงาน มีแพลตฟอร์มตั้งแต่ 14-18 นิ้ว ขณะที่เน็ตบุ๊กเจาะกลุ่มต้องการใช้โน้ตบุ๊กเครื่องแรก น้ำหนักเบา และใช้งานด้านอินเทอร์เน็ต" นายบุญชัยกล่าวและว่า
คาดว่าหลังจากนี้คีย์เพลเยอร์หลักที่ แข่งขันอยู่ในตลาดจะเริ่มปล่อยโน้ตบุ๊กที่มีขนาดบางและเบาออกสู่ตลาดเพื่อแข่งขันเช่นกัน ส่วนแบรนด์เดิมที่เคยครองตลาดสินค้ากลุ่มบางและเบามานานจะมีการขยายไลน์สินค้าเพื่อจับตลาดกลุ่มนี้เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดด้วย
นอกจากนี้นายบุญชัยกล่าวอีกว่า การเปิดตัวของ Timeline จะเข้ามาช่วยเพิ่มรายได้ของเอเซอร์ให้สูงขึ้น จากปัจจุบันราคาโน้ตบุ๊กเอเซอร์เฉลี่ยอยู่ที่ 2.19 หมื่นบาท แต่ Timeline จะช่วยดึงราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอีก 2 พันบาท ซึ่งจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา เอเซอร์มียอดขายโน้ตบุ๊กเชิงยูนิตโตขึ้น 15% แต่ในแง่เม็ดเงินแทบไม่โต แต่เชื่อมั่นว่าโน้ตบุ๊กเซ็กเมนต์ใหม่จะตอบโจทย์ผู้บริโภคและช่วยกระตุ้นรายได้ให้เติบโตในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันได้
นอกจากเปิดตัวโน้ตบุ๊กเซ็กเมนต์ใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว ผู้ผลิตแบรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเดลล์ เลอโนโว MSI หรือแม้แต่โลคอลแบรนด์ไทย ซึ่งจะเข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดโน้ตบุ๊กให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
ที่มา: matichon.co.th