"เจ๊ฉอด" ยันไม่ปัญหา "เจ" หลังอีกฝ่ายพูดน้อยใจถึงกับจะฉีกสัญญา แนะให้ศิลปินรุ่นใหญ่ทุกคนเข้าใจธุรกิจเพลงในปัจจุบัน บอกไม่ใช่บริษัทรวยแล้วเอาเปรียบนักร้อง
อยู่ดีๆ ก็มีเรื่องให้ผู้บริหารใหญ่เอไทม์ "เจ๊ฉอด" สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ต้องออกมาแก้ข่าวอีกแล้ว หลังศิลปินในสังกัด "เจ เจตริน วรรธนะสิน" ออกให้สัมภาษณ์ว่าน้อยใจทางค่าย ไม่จัดคอนเสิร์ต และไม่มีการทำเพลงให้ ถึงขนาดประกาศจะฉีกสัญญาทิ้ง
"กับเรื่องของเจ ถ้าถามว่าเขาน้อยใจยังไง คือถ้ามองในตัวพี่ฉอดเอง มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็นปัญหาของธุรกิจ เป็นปัญหาของอุตสาหกรรมเพลง ที่ ณ วันนี้เราต้องยอมรับว่ามันมีออะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน"
"คือถ้าศิลปินมองแต่ตัวเอง แขาก็จะมองเห็นแต่ปัญหาของตัวเอง แต่ถ้าเกิดเรามองภาพรวมเราก็จะเห็นว่ามันเป็นปัญหาของอุตสาหกรรม วันนี้เราคงไม่มีใครที่จะไปแก้ไขหรือไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้นอกจากให้ทุกอย่างมันเดินทางไป"
"ก็อย่างเมื่อก่อนนี้ศิลปินที่เป็นรุ่นใหญ่ ที่มีอีกมากก็จะได้รับผลกระทบมากว่าน้องๆ สมัยนี้ เพราะว่าเขาเกิดมาในช่วงที่ขายแผ่นกันเป็นล้าน แล้วก็มีการโชว์โปรโมตแบบเต็มอัลบั้ม แต่ชีวิตตอนนี้มันเปลี่ยนไปมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำคือเขาใจ และก็หาวิธีแก้ไจกันไป เราก็พยามยามแก้ไขกันไป"
"เพราะปัญหานี้มันเป็นปัญหาทั่วโลก มาถึงวันนึงแล้วเราต้องมาหาทางออกให้กับธุรกิจนี้ แต่ศิลปินตอนนี้เยอะมาก มันคงไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ว่ามันเป็นปัญหาของทุกคนที่ทำอุสาหกรรมนี้ เพราะตอนนี้เป็นปัญหาไปทั่วโลก ซึ่งพอมันเป็นปัญหา มันก็ไม่สามารถที่จะไปแก้ปัญหาให้กับใครคนใดคนหนึ่งได้ เพราะมันเป็นเรื่องยาก"
"เรื่องการจัดคอนเสิร์ตให้พี่เจ เราก็ทำมาโดยตลอด ก็คงจะเห็นกันอยู่ คอนเสิร์ตใหญ่ของพี่เจ เราก็เป็นคนจัด แต่อย่างที่บอกว่าตอนนี้ศิลปินก็มีเยอะ ในแต่ละปีเราก็จะพยายามที่จะดู แต่ยังไงก็ตามกับคอนเสิร์ตทุกวันนี้ไม่ได้เป็นการโชว์เดี่ยวเพียงอย่างเดียว แต่ในละคอนเสิร์ตก็มีคอนเซ็ปต์ดึงคนอื่นมา เราก็มีให้อยู่ตลอดค่ะ"
เผยมีการพูดคุยกับ "เจ" แล้ว อีกฝ่ายขอโทษ ส่วนเรื่องสัญญาแล้วแต่ความสมัครใจว่าจะเซ็นต่อหรือไม่
"กับพีเจเราก็ได้คุยกัน เพราะพอเขาให้สัมภาษณ์ไปเขาก็บอกว่าเขาพูดแรงไปหรือเปล่า ก็คุยกัน เราก็บอกไม่เป็นไร ถามว่าเราเขาใจไหม เราก็เข้าใจ มันก็ไม่แรงไปหรอกคะ มันเป็นอารมณ์หนึ่งของศิลปินรุ่นใหญ่ ซึ่งอย่างที่บอกว่าเขาเจอหนักกว่าน้องๆ"
"น้องๆ เด็กๆ สมัยนี้คือมาเร็วไปเร็ว ร้องเพลงเพลงเดียวออกมาเพลงเดียว แล้วก็หายไป แต่พี่ๆ โตๆ แล้วเขาเคยอยู่ในสภาพอีกแบบนึง เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่พี่เจคนเดียวที่ตกอยู่ในสภาวะที่ว่า และบริษัทเองก็คงพยายามดูแลแก้ไขเท่าที่จะทำได้ แต่จริงๆ พี่เจโชคดีกว่าคนอื่นนะคะ เพราะว่าพี่เจเป็นคนเก่งเป็นคนมีความสามารถ และพี่เจก็สามารถที่จะทำอะไรได้อีกหลายๆ อย่าง เราจะเห็นพี่เจเป็นพิธีกร เล่นละครอะไร แต่เราก็จะเห็นนักร้องรุ่นพี่เจอีกหลายคนนะคะที่อาจจะทำอะไรไม่ได้เท่าพี่เจ และก็แย่กว่าค่ะ"
"เรื่องสัญญากับพี่เจปีหน้าก็จะหมดสัญญาแล้วคะ ศิลปินแกรมมี่ที่มีอยู่ที่หมดไปแล้วก็มีนะคะ แต่ถ้าถามว่าเขาเหล่านี้จะไปไหนกันหรือเปล่า บางคนก็หมดไปก่อนหน้าพี่เจ แต่ก็ยังไม่ไปไหนก็ยังอยู่ด้วยกัน และก็ยังดูแลกันไป ซึ่งช่วงหลังๆ ถ้าถามว่ามีการคุยกับพี่เจเรื่องต่อสัญญาไหม เราเอาความสมัครใจมากกว่าคะ"
"ใครที่รู้สึกว่าอยากจะต่อก็ต่อ อีกหลายๆ คนรู้สึกไม่อยากต่อก็ไม่ได้แปลว่ามีปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าอยู่แบบนี้ก็อยู่ เพราะมีศิลปินหลายๆ คนที่ไม่มีสัญญาแต่เราดูแลอยู่ก็มีหลายๆ คน ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นของพี่เจ เรายังไม่มีโอกาสได้คุยใครเลย มันไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไม่มีใครอะไรหรอกค่ะ เพราะว่ามันเป็นแค่ความไม่เข้าใจ และมันก็เป็นอารมณ์อารมณ์หนึ่ง"
"ซึ่งเราก็ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมเพลงวันนี้มันมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง ถ้าพูดถึงการเอาต้นตำรับมาบางทีมันก็ยังไม่สามารถที่จะมาเติมเต็ม คือศิลปินรุ่นใหญ่ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะว่าอาชีพเราเป็นอาชีพที่ไม่คงที่ ต้องอาศัยหลายสิ่งหลายอย่าง"
"แล้วอันหนึ่งที่สำคัญก็คือต้องบอกกันตรงๆ ว่าบ้านเรา ไม่ค่อยได้รับการดูแลในเรื่องของการสนับสนุนเท่าไหร่ ในขณะที่ต่างประเทศมาบุกบ้านเราเพราะว่าเขาได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแรงมาก ทั้งทางรัฐบาลหรือจากอะไรก็ตาม"
"แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้หมายความว่าบริษัทแกรมมี่หรือบริษัทเอาเปรียบนักร้อง มันไมได้หมายความว่านักร้องลำบาก และบริษัทรวย อันนี้มันไม่ใช่ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด ศิลปินมีปัญหา บริษัทมีปัญหา เราก็ต้องพยายามแก้ไปในสิ่งที่เราสามารถที่จะทำได้"
ที่มา: manager.co.th