"โนเกีย" ติดหล่ม กำไรลด 90% เร่งเครื่อง "สมาร์ตโฟน" กู้ยอด

[Reporter]

เมื่อพิษเศรษฐกิจเริ่มแผลงฤทธิ์ ผู้นำตลาดมักจะเป็นด่านแรกที่สามารถจับความเคลื่อนไหวได้ก่อนคู่แข่ง รายอื่นๆ

"โนเกีย" ในฐานะผู้นำตลาดมือถือ เบอร์หนึ่งของโลก ได้รับแรงกระเพื่อมนี้ ไม่ต่างกัน

หลังผ่านไตรมาส 1/2009 โนเกียรายงานผลประกอบการด้วยกำไรที่ลดลงถึง 90% นับเป็นผลประกอบการที่ย่ำแย่ที่สุดของโนเกียตั้งแต่ปี 2001 สาเหตุใหญ่มาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง ทำให้คอนซูเมอร์ต่างยืดอายุการใช้งานมือถือที่ตนมีอยู่ในกระเป๋า

โดยโนเกียมีกำไรสุทธิ 122 ล้านยูโร จากปีที่ผ่านมามี 1.22 พันล้านยูโร ขณะที่มียอดขายประมาณ 9.28 พันล้านยูโร จาก 12.66 พันล้านยูโร เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกับปีที่ผ่านมา หรือหากคิดเป็นจำนวนเครื่องพบว่ามียอดขายจำนวน 93.2 ล้านเครื่อง ลดลง 19%

แต่ทั้งนี้ส่วนแบ่งการตลาดของโนเกียยังคงเบอร์ 1 ที่ 37% เท่ากับไตรมาส 4 ปีที่แล้ว แต่ราคาสินค้าเฉลี่ยลดราคาจาก 71 ยูโร เหลือเพียง 65 ยูโร

นักวิเคราะห์ต่างคาดว่าสาเหตุหลักที่ทำให้โนเกียเผชิญมรสุมในครั้งนี้ นอกจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากคู่แข่งอย่างไอโฟน, แบล็กเบอร์รี่ หรือแม้แต่เอชทีซีที่เข้ามาแย่งตลาดเครื่องไฮเอนด์ของโนเกีย

อย่างไรก็ตาม โนเกียออกมาคลาย ความกังวลใจของนักลงทุนว่า ปัจจุบันเริ่มสามารถจับทิศทางความต้องการของ ตลาดได้ พร้อมกับคาดว่าตลาดมือถือ ทั่วโลกปีนี้อาจจะหดตัวเพียง 10% เท่านั้น และน่าจะเป็นภาวะต่ำสุดที่จะเกิดขึ้นภายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2009 จากนั้นเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2 ตลาดจะเริ่มคงที่หรือดีดตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

"ออลลี่-เพคคา คลาวลาสวูโอ" ผู้บริหารระดับสูงของโนเกีย กล่าวว่า มือถือในคงคลังของโนเกียได้ลดลงอย่างจริงจังในไตรมาสนี้ ทำให้เริ่มเห็นภาพความต้องการสินค้าในตลาดได้อีกครั้งเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2

"ไม่มีอีกแล้วที่ตลาดรวมจะตกอยู่ในอาการที่ไม่สามารถควบคุมได้" ออลลี่กล่าว

ด้าน "ริค ไซมอนสัน" ซีเอฟโอของ โนเกีย กล่าวว่า มีสัญญาณบางอย่างที่เริ่มเกิดขึ้น และบ่งบอกถึงความมีเสถียรภาพ ของตลาดเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2 แต่ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าความต้องการอุปกรณ์มือถือในตลาดถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือไม่

แม้ว่ายอดขายโดยรวมของโนเกียจะไม่สวยงามนัก แต่ผู้บริหารบริษัทมือถือจากฟินแลนด์ยังเสริมว่า ส่วนแบ่งการตลาดของสมาร์ตโฟนในไตรมาส 1 เพิ่มขึ้นเป็น 38% จากไตรมาส 4/51 มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 32% เป็นผลมาจากยอดขายมือถือทัชสกรีน โนเกีย รุ่น 5800 และรุ่น E71 ที่มาพร้อมการบริการต่างๆ มีความแข็งแรงมากขึ้น

Forbes.com รายงานว่า สมาร์ตโฟน รุ่น 5800 ของโนเกียมียอดขายที่แข็งแกร่งมากและกลายเป็นหนึ่งในสินค้าไฮไลต์ของโนเกีย

นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า มือถือ รุ่น 5800 ประสบความสำเร็จในการทำตลาดอย่างมาก และคาดว่ามียอดขายพุ่งถึง 2.5 ล้านเครื่องในไตรมาสที่ผ่านมา และสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างกำไรก้อนใหญ่ให้กับโนเกียในครึ่งปีแรกนี้

อย่างไรก็ตาม ตลาดสมาร์ตโฟนปีนี้ถือว่าเป็นตลาดที่ผู้ผลิตหลายรายต่างให้การโฟกัสมากขึ้น เนื่องจากโอเปอเรเตอร์หันมาใช้กลยุทธ์ซับซิไดซ์สินค้าสมาร์ตโฟนมากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าหันมาซื้ออุปกรณ์ที่มีฟีเจอร์ใช้งานต่างๆ มากขึ้น โดยหวังที่จะเพิ่มรายได้จากการใช้บริการดาต้าให้มากขึ้นตามมา

ขณะเดียวกัน การ์ดเนอร์ประเมินว่า แม้ภาพรวมของตลาดมือถือในปีนี้อาจชะลอตัวลงจากสภาพเศรษฐกิจ แต่สำหรับตลาดสมาร์ตโฟนแล้วคาดว่ายังคงเป็นตลาดที่เติบโตเป็นบวกในปี 2552

"หากมองภาพรวมตลาดในปี 2551 ผู้ผลิตและผู้ให้บริการต่างโฟกัสไปที่การเพิ่มจำนวนสินค้ากลุ่มสมาร์ตโฟน ส่งผลให้เซ็กเมนต์นี้ยังแข็งแรงอยู่ ทั้งซัมซุง แบล็กเบอร์รี่ เอชทีซี และแอปเปิล ต่างมียอดขายส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเพื่อเสนออุปกรณ์ที่กระตุ้นความสนใจสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าและหน้าจอระบบสัมผัส" "โรเบิร์ตต้า คอซซา" ผู้อำนวยการวิจัยจากการ์ดเนอร์กล่าว

ไม่ว่าจะเป็นค่าย "รีเสิร์ช อินโมชั่น" ผู้ผลิตมือถือตระกูลแบล็กเบอร์รี่ ซึ่งเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากโนเกีย คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้น 10-20% ขณะที่ภาพรวมตลาดมือถือทั้งหมดหดตัวลง 10% และแบรนด์อื่นอย่างเอชทีซีและซัมซุงต่างคาดหวังการเติบโตในตลาดสมาร์ตโฟนเช่นกัน

เจพี มอร์แกนแสดงความเห็นว่า ส่วนแบ่งการตลาดของโนเกียเริ่มมี เสถียรภาพมากขึ้น แสดงให้เห็นว่า "สมาร์ตโฟนราคาประหยัด" ดังเช่นรุ่น 5800 เป็นจุดเริ่มต้นที่กระตุ้นความต้องการของคอนซูเมอร์ แม้กระทั่งนักลงทุนทั้งหลายเริ่มสังเกตเห็นว่าคอนเซ็ปต์การบริโภคสมาร์ตโฟนกลุ่ม "cheap chic" ในตลาดน่าจะได้รับความนิยม

เพราะปีที่ผ่านมาหลังโนเกียแนะนำ 5800 มือถือทัชสกรีนเครื่องแรกเข้าสู่ตลาด ปรากฏว่ามือถือทัชสกรีนราคาประหยัดนั้นสามารถเบียดกับยอดขายไอโฟนได้ทั้งในตลาดตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก และเอเชีย พร้อมกับยังมีดีมานด์ต่อเนื่องในตลาดที่พัฒนาแล้ว


ที่มา: matichon.co.th