แม้ตัวจะจากไปแต่เรื่องราวของ"ไมเคิล แจ็คสัน"ซูเปอร์สตาร์ดังระดับโลกยังคงเป็นเรื่องราวที่หลายๆคนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดฝ่ายพ่อและแม่เดินทางไปออกรายการของ "โอปราห์" ยอมรับเรื่องลูกเสพติดศัลยกรรมแถมเผยถึงบทลงโทษของผู้เป็นพ่อที่ชอบทุบตีลูกด้วย
แคทเธอรีน แจ็คสัน แม่ของไมเคิล ได้พูดเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาผ่านทางรายการของโอปราห์ วินฟรีย์ถึงการเปลี่ยนลุคเปลี่ยนสีผิวของลูกชาย โดยระบุว่าครั้งแรกที่ลูกชายตัดสินใจทำศัลยกรรมเนื่องมาจากโรคทางผิวหนัง Vitiligo เป็นหลัก เพราะเจ้าตัวไม่อยากดูเหมือนวัวที่มีลายด่างเต็มตัว
"เขาไม่อยากดูด่างเหมือนวัว ฉันไม่รู้ว่าอะไรในโลกที่ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นแบบนั้นได้ แต่เขาก็ทำไปแล้ว"
ไมเคิลเป็นที่พูดถึงอย่างมากในเรื่องการศัลยกรรมว่าเขานั้นผ่านการนอนใต้มีดหมอมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงการทำศัลยกรรมจมูกด้วย ซึ่งหลังจากที่เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลูปัส หรือโรคแพ้ภูมิตนเอง และ โรคด่างขาว ทำให้เขาเข้ารับการรักษาหลายต่อหลายครั้งเพื่อหาวิธีดูแลผิวที่บอบบางของเขาซึ่งสิ่งนี้เองได้ทำให้เขาเปลี่ยนจากคนผิวสีเป็นคนผิวขาวไปโดยปริยาย
ในปี 1993 ไมเคิลอ้างว่าตัวเขาผ่านการทำศัลยกรรมมาแค่ 2 ครั้งเท่านั้นในชีวิต แต่งานนี้ด้านแคทเธอรีนปฏิเสธอย่างหนักพร้อมเผยความจริงทั้งหมด
"เขาทำมากกว่า 2 ครั้งแน่นอน แต่ที่เขาไม่พูดเป็นเพราะเขาอาย ฉันเคยได้ยินว่ามีคนเสพติดศัลยกรรม และฉันคิดว่าไมเคิลเองก็เป็นแบบนั้น ฉันเคยบอกเขาว่าให้พอได้แล้ว"
นอกจากนั้นในการออกรายการครั้งนี้ โจ พ่อของไมเคิลก็มาร่วมรายการด้วย ซึ่งในระหว่างการให้สัมภาษณ์แคทเธอรีนพยายามให้เขายอมรับความจริงเรื่องที่เขาทุบตีไมเคิลรวมถึงลูกๆทั้ง 9 คนด้วย
โดยโอปราห์ได้ถามเขาเกี่ยวกับการลงโทษลูกๆ เขาได้ตอบปฏิเสธออกมาก่อนที่แคทเธอรีนจะพูดโพล่งออกมาว่า "คุณควรจะยอมรับไปเลยดีกว่านะว่านั่นเป็นวิธีการเลี้ยงดูลูกของคนดำ เขาเคยใช้แส้ฟาดลูกด้วย"
ซึ่งโจรีบกล่าวปกป้องตนเองว่า "ผมไม่เสียใจที่ตีพวกเขา มันเป็นการปกป้องพวกเขาและทำให้พวกเขาไม่ต้องไปนอนในคุกและให้พวกเขาเดินในทางที่ถูก"
นอกจากนั้นแคทเธอรีนยังพูดถึงยาโปรโปฟอลของไมเคิลที่เป็นตัวพรากชีวิตเขาไปและความรู้สึกเมื่อตอนทราบข่าวร้ายการจากไปของลูกชายเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ปีที่แล้วด้วย
"ฉันเคยพูดกับไมเคิลมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่ฉันได้รู้เรื่องยาชนิดนี้ของเขา แต่ว่าเขาปฏิเสธว่าไม่ได้ใช้ ฉันเลยบอกเขาว่า วันหนึ่งฉันไม่อยากได้ยินข่าวว่าเขาได้รับยาเกินขนาดเพราะมันจะทำให้ฉันใจสลาย เขาเลยเอาแต่พูดว่า 'แม่ผมยังไม่เชื่อผมเลย' ส่วนหนึ่งในตัวฉันอยากจะเชื่อเขาแต่ฉันไม่เชื่อ"
"ในวันที่เขาจากไป มันเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของฉันแล้ว มันใจหาย ฉันรู้สึกแบบนั้น ฉันได้แต่ภาวนาว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น ฉันไม่อาจกล่าวหาว่าเป็นการฆาตกรรมของ ดร.เมอร์เรย์ ฉันไม่รู้ว่านั่นเป็นอุบัติเหตุหรือว่าตั้งใจ ฉันไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว ฉันคิดแต่ว่าตัวฉันเองไม่มีทางรักษาหายเพราะฉันเจ็บเหลือเกิน"
ที่มา: manager.co.th