Author Topic: เปลือยชีวิต “แอนนี่” นั่งรถคลอดลูกเองซ้ำรอยแม่ ใบเกิดลูกไม่ระบุพ่อหวั่น “ฟิล์ม” มาแย่ง  (Read 840 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai





“แอนนี่” หอบลูกเปิดใจถึงชีวิตยากจนข้นแค้นในวัยเด็ก เผยประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแม่ที่ต้องนั่งรถไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลคนเดียว พอเอาลูกให้สามีดูก็ถูกทิ้ง ตนต้องทำงานหาเลี้ยงชีพดูแลแม่และตัวเองมาตลอดตั้งแต่ 9 ขวบ กระทั่งบังเอิญได้เข้ามาทำงานในวงการ แต่ไม่ดังเลยหันไปถ่ายเซ็กซี่เลี้ยงชีพ รับเคยมีอดีตที่เลวร้าย มีแฟนหลายคน แต่ “ฟิล์ม” คือคนที่รักที่สุด ไม่ป้องกันจนมีลูกเพราะถูกคนที่รักขอ เผยใบเกิดลูกไม่ระบุชื่อใครเป็นพ่อ พร้อมบอกเหตุไม่ตรวจดีเอ็นเอ เพราะกลัว “ฟิล์ม” มาแย่งลูกไป
       
       เปิดใจแถลงข่าวกับสื่อมวลชนรอบ 2 ไปแล้วเมื่อค่ำวานนี้ (27 ก.ย.) ขณะมาร่วมบันทึกเทปรายการ “ตีสิบ” โดยดาราสาว “แอนนี่ รุ่งนภา บรู๊ค” ยังคงยืนยันจะไม่มีการตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ บอกหน้าของลูกชายตัวน้อย “ด.ช.ฑีฆายุ แก้วไทรหาญ” วัย 3 เดือน บ่งบอกชัดเป็นลูกของพระเอก-นักร้องซูเปอร์สตาร์ “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” และตนก็จะบอกลูกเช่นนั้นว่าพ่อชื่อ “ฟิล์ม”
       
       ซึ่งภายหลังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเสร็จ “แอนนี่” ก็ได้บันทึกเทปรายการ “ตีสิบ” ต่อ โดยมีพิธีกรหลักอย่าง “วิทวัส สุนทรวิเนตร” เป็นผู้ดำเนินรายการ คอยซักถามถึงชีวิตของดาราสาวเริ่มตั้งแต่วัยเด็กที่ครอบครัวยากจน เธอต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองและแม่มาตลอด
       
       “ชีวิตครอบครัวแอนนี่ตอนเด็กๆ เรียกว่ายากจนได้ค่ะ คือแอนนี่เกิดที่กรุงเทพฯนี่แหละค่ะ อยู่ที่กรุงเทพฯได้สักพักนึง แต่ไม่ได้เรียนหนังสือสักที คุณแม่เลยตัดสินใจพากลับไปอยู่ที่ลำปาง เพราะค่าใช้จ่ายมันน้อยกว่า ซึ่งแอนนี่ก็ทำงานมาตั้งแต่เด็ก ทำทุกอย่างเลยค่ะ ขายเห็ด ขายหน่อไม้ รับจ้างทำงานบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ถางหญ้า เป็นเด็กปั๊ม ตอนนั้นประมาณ 9-10 ขวบนี่แหละ ตอนแรกก็ไปช่วยเก็บตังค์ก่อน พอเราพอที่จะถือหัวจ่ายน้ำมันไหว เราก็เริ่มจ่ายน้ำมันได้ พอปิดเทอมเราก็ไปทำ”
       
       “พอเสร็จจากปั๊มน้ำมันเราก็ไปรีดผ้าตามบ้านของครู อาจารย์ที่ท่านจ้างเรา ก็คือทำทุกอย่าง ซึ่งแม่เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับแอนนี่มากเลยค่ะ ท่านเข้มแข็งนะ แอนนี่ไม่รู้สึกทุกข์เลย ท่านเลี้ยงเราอย่างอบอุ่น และท่านเป็นคนที่เขียนหนังสือไม่เป็นด้วยนะ อ่านหนังสือไม่ออกด้วย แต่เลี้ยงมาด้วยแบบ คือแอนนี่สอบได้ที่ 1 ทุกเทอมค่ะ คุณแม่ท่านทำให้แอนนี่เรียนหนังสือเก่งได้ ตอนประถมแอนนี่ก็เรียนโรงเรียนแถวบ้าน แล้วก็ไปเข้ามัธยมที่เชียงใหม่ แล้วก็มาต่อที่กรุงเทพฯ ค่ะ แล้วก็มาจบพยาบาล ซึ่งแอนนี่จะได้ทุนตลอด ไม่เคยใช้เงินของแม่เลยค่ะ”
       
       เผยเข้าวงการได้เพราะความบังเอิญ จากนั้นก็เริ่มมีงานในวงการเรื่อยมา แต่ทำยังไงก็ไม่ดังสักที จนต้องตัดสินใจถ่ายเซ็กซี่เพื่อเลี้ยงชีพ
       
       “ที่เข้าวงการได้เพราะไปเดินเล่นที่สยามฯ แล้วก็มีพี่นางแบบคนนึง คือวันพรุ่งนี้เขาจะต้องไปเดินแบบ แล้วอีกวันนึงเขาต้องไปถ่ายงานโฆษณา แต่ว่างานโฆษณาได้เงินมากกว่า เขาก็เลยจะหาคนไปเดินแบบแทน คือสมัยก่อนมันยังไม่ค่อยมีโมเดลลิ่ง เวลาทำงานบางทีเขาต้องไปเดินหานางแบบ แล้วพอแอนนี่เดินผ่านไป เขาก็เรียกบอกให้ไปเทสต์ให้พี่หน่อยสิ พอดีพี่ต้องไปเดินแบบ แต่ว่าพี่ได้งานอื่นที่ได้ตังค์เยอะกว่า พี่ต้องไป แต่ว่าอยากได้ตัวแทน เขาก็ให้แอนนี่ไปแคส แอนนี่ก็ลองไปเดินให้เขาดู ก็เดินเขย่งไปเขย่งมานี่แหละค่ะ(หัวเราะ) เขาก็เอา ตั้งแต่นั้นมาก็ได้เดินแบบ แล้วก็ถ่ายหนังสือ เสร็จก็ขยับมาถ่ายโฆษณา แล้วก็ได้มาเล่นหนัง แล้วก็เล่นละคร ออกเทปมาถึงทุกวันนี้ค่ะ”
       
       “แต่เรียกว่าทำยังไงก็ไม่ดัง (หัวเราะ) แม้จะบอกว่าได้เป็นนางเอกหนังเรื่อง เชอร์รี่ แอน แต่จริงๆ แล้วแอนนี่ได้รับเกียรติจากทางไฟว์สตาร์มากกว่า ที่เขาอุตส่าห์ให้คำว่านางเอก เพราะในหนังจริงๆ แล้วก็ออกมาแค่นิดเดียวเองค่ะ แล้วแอนนี่ก็เคยออกเทป แต่ก็หลายปีแล้วค่ะ ตั้งแต่อายุ 22-23 ส่วนสาเหตุที่ต้องมาถ่ายเซ็กซี่ ก็เพราะเล่นหนังมันก็เฉยๆ แล้วพอออกเพลงก็ยังเฉยๆ อีก จริงๆ แล้วแอนนี่อยากจะบอกนะคะว่าผู้หญิงหลายคนในวงการตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ทุกคนก็ต้องผ่านการถ่ายภาพเซ็กซี่ทั้งนั้น มันคืองานค่ะ”
       
       “แล้วแอนนี่ก็ไม่ใช่คนสวยนะคะ หมายถึงไม่ใช่คนสวยที่จะไปเลือกงานเองได้ หรือไปเป็นนางเอกอะไรอย่างนั้น เราไม่มีคนคอยสนับสนุนข้างหลัง ไม่มีผู้ใหญ่ที่จะผลักดันเข้าสู่วงการ เราก้าวเข้ามาด้วยตัวของตัวเองจริงๆ เพราะฉะนั้นการที่เราจะอยู่รอดให้ได้ ก็จะต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนสินค้า ถ้าเกิดว่าเรามองตัวเองเป็นสินค้า เป็นโปรดักส์ ถ้าเราเป็นโปรดักส์เก่าๆ ไม่เปลี่ยนฉลากเลย คือสินค้าข้างในยังเหมือนเดิม แต่มันต้องเปลี่ยนฉลากบ้าง เปลี่ยนหีบห่อบ้างให้มันดูว่าแปลกใหม่นะ น่าหยิบน่าจับมาซื้อ หรือถ้าเกิดว่าเรายังคงเป็นเชอร์รี่ แอนเหมือนเดิม หรือว่ายังร้องเพลงเหมือนเดิม ซึ่งมันก็จะอยู่แค่นั้น เราก็จะหายไปจากวงการ เพราะเราไม่มีคนดูแล”
       
       “แต่ถามว่าเสียใจไหมที่ทำลงไป แอนนี่ต้องทำมาหากินเลี้ยงแม่ เลี้ยงตัวเอง เราคิดว่าไม่ได้ไปฆ่าใคร ไม่ได้ไปทำร้ายใคร ไม่ได้ไปทำสิ่งผิดกฎหมาย เราทำงานของเรา ซึ่งมันก็อาจจะดูว่าเป็นสิ่งยั่วยุหรือยั่วยวน แต่ถามว่ามันคืองานไหม มันคืองานจริงๆ แต่ถามว่ามันมาจากข้างในที่อยากจะทำไหม ทุกวันนี้มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เราก็ไม่ได้อยากจะเป็นอย่างนั้น ไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้น พอแอนนี่ได้งานใหม่อย่างเช่นตอนนี้ที่ว่ามีเป็นตลกเป็นอะไร เราก็ทิ้งตรงนั้นเลย ไม่เอาอีกเลย”
       
       “แต่ช่วงนั้นก็ยอมรับว่ามีผู้ชายเข้ามาบ้าง เพราะผู้ชายเขาก็เห็นผู้หญิงเซ็กซี่ ใส่วับๆ แวมๆ เขาก็อาจจะคิดอะไรหลายๆ อย่าง ก็มีเข้ามาบ้าง หวังดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ก็ต้องมีอยู่แล้วค่ะ แต่จริงๆ แล้วอย่างที่บอกอดีตมันคืออดีต ไม่มีใครสามารถย้อนกลับไป เพื่อที่จะทำให้อดีตมันดีขึ้นหรือว่ามันแย่ลงได้ แอนนี่เชื่อทุกคนต้องผ่านชีวิตวัยรุ่น ผ่านชีวิตวัยที่อยากรู้อยากเห็นอยากลอง เราก็เป็นคนนึงเหมือนกัน ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วก็มีประวัติ มีอดีตที่สวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มี….ทุกคนจะต้องผ่านอะไรมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เราก็เคยผ่านเรื่องเลวร้ายมา ลองผิดลองถูกมา ผิดพลาดไปบ้างในชีวิตมียอมรับ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตคน”
       
       เมื่อซักถามสาวลึกไปถึงประวัติของคุณพ่อชาวสวิสฯ ที่มาพบรักกับแม่ของเธอ “แอนนี่” ยอมรับว่าช่วงที่แม่ท้องตน มีชีวิตไม่ต่างไปจากตนก่อนหน้านี้เลย
       
       “คุณพ่อเป็นคนสวิสเซอร์แลนด์ค่ะ แล้วมาเจอกับคุณแม่ ก็เพราะคุณแม่ขายกับข้าว ทำข้าวแกงขาย แล้วคุณพ่อก็ชอบผัดกระหล่ำของคุณแม่มาก(หัวเราะ) ติดใจแล้วก็มาทานทุกวัน แล้วก็เลยปิ๊งกันค่ะ แต่ชื่อคุณพ่อแอนนี่ไม่ทราบเลยว่าชื่ออะไร เพราะคุณแม่โกรธคุณพ่อมาก จนชื่อก็ไม่บอก บอกแต่ว่าตกเครื่องบินตายไปแล้ว(หัวเราะ) เพราะว่ามันตอบง่ายไงคะ เวลาแอนนี่ไปโรงเรียน แล้วเห็นคนอื่นเขามีพ่อมารับ เราก็จะถามว่าพ่ออยู่ไหน แม่ก็บอกพ่อตกเครื่องบินตายไปแล้ว ก็เลยไม่บอกชื่อ ไม่บอกอะไรเลย”
       
       “แต่ว่าตอนนี้รู้แล้วค่ะ พอโตมาได้สักประมาณอายุ 20 เราก็เริ่มกลับไปถามใหม่ เพราะทิ้งช่วงเวลามา เราก็คิดว่าพ่อเราตายจริงๆ เราก็ไม่ถาม แต่พอวันนึงเราสะกิดใจขึ้นมา เหมือนเราเริ่มมีความรักก็กลับไปถามแม่ว่า ตอนที่แม่มีความรักกับพ่อมันเป็นยังไงเหรอ พอแม่เล่าถึงความรักกุ๊งกิ๊งๆ เสร็จ เราก็เข้าเรื่องต่อ แล้วก็ถามว่าอ้าว...แล้วตอนที่คลอดแอนนี่ล่ะ ทำไมพ่อถึงทิ้งหนูไป แม่ก็เลยตัดสินใจเล่าความจริง เพราะว่าเรามีวุฒิภาวะมากพอแล้วที่จะรับฟัง ถ้าเรายังเด็กอยู่ เด็กก็ไม่มีเหตุผลหรอก มีแต่อารมณ์กับความรู้สึก ถ้าเราจะบอกว่าเลี้ยงเด็กต้องเลี้ยงด้วยเหตุผลนะ แต่เหตุผลอย่างเดียวมันไม่พอ มันอยู่ที่อารมณ์ความรู้สึกด้วย”
       
       “แต่ชีวิตของแอนนี่กับแม่ไม่รู้ว่าเหมือนกันหรือเปล่านะ แต่คุณแม่ก็บอกว่า วันที่แอนนี่คลอด แล้วก็เอาหน้าหนูไปให้พ่อดู พ่อเขาบอกว่าไม่ใช่ลูกเขา คือคุณแม่กับแอนนี่จะไม่เหมือนกันเลย หน้าตาไม่เหมือนกันเลย หน้าตาแอนนี่จะเหมือนคุณพ่อหมดเลย คุณแม่ก็เลยบอกว่ายูดูสิ ยูดูหน้าลูกยูสิ เหมือนยูไหม เพราะสมัยก่อนคงยังไม่มีมั้งคะเรื่องตรวจดีเอ็นเอ เท่าที่แอนนี่จำได้เพิ่งจะมีตรวจไม่กี่ปีมานี่เอง แต่พอคุณแม่เอาไปให้ดู แล้วก็บอกยูดูหน้าลูกยูสิ เหมือนยูทุกอย่างเลย ยูยังจะบอกว่าไม่ใช่ลูกยูอีกเหรอ เขาก็หนีไปเลย หายไปเลย”
       
       “ตอนนั้นคุณแม่โกรธมากค่ะ เพราะว่าวันที่แม่คลอด แม่ก็ไปคนเดียว แม่เล่าให้ฟังว่าขึ้นแท็กซี่ไป แล้วก็น้ำคร่ำแตกแล้ว ปวดท้องมากแล้วขึ้นแท็กซี่ไปตอนประมาณตี 3 ตี 4 แล้วก็ไปคลอดที่โรงพยาบาลคนเดียว อยู่คนเดียว เลี้ยงคนเดียวมา แล้วก็มีอยู่คำนึงตอนที่แอนนี่บอกแม่ไปว่า หนูมีน้องนะ แม่บอกว่าตายละหวา.....หรือว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย แอนนี่ก็เลยอึ้ง แล้วก็เลยถามแม่ว่าทำไมเหรอ แม่เขาก็บอกว่ามันช่างเหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ แกพูดอย่างนี้ แอนนี่ก็เลยบอกว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็แปลกดี”
       
       “แต่พอแอนนี่สักประมาณ 5 ขวบ รู้สึกว่าคุณพ่อเหมือนคงคิดอะไรได้ เหมือนที่แอนนี่บอกไง เวลาเท่านั้นมันจะทำให้อะไรดีขึ้น ณ วันนี้ไม่อยากให้ทุกคนมาบีบอะไรอีกแล้ว อย่าเพิ่งไปบีบ อย่าเพิ่งไปทำอะไร ที่มันทำให้รู้สึกว่ามันช่างกระชับวงล้อมซะเหลือเกิน คืออย่าเพิ่ง ใจเย็นๆ ทุกฝ่ายทำงานไป ทุกคนเดินหน้าต่อ อย่าเพิ่งร้อนรน อย่าเพิ่งใจร้อน เดี๋ยววันนึงเวลามันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง”
       
       ย้อนถึงความสัมพันธ์กับ “ฟิล์ม” ซึ่ง “แอนนี่” ยืนยันว่าเป็นผู้ชายที่ตนรักที่สุด และที่ยอมปล่อยไม่ป้องกันจนมีลูกนั้น เพราะถูกคนรักขอ ทั้งยังเผยใบเกิดของลูกไม่ระบุชื่อพ่อ และเหตุที่ไม่ตรวจดีเอ็นเอเพราะกลัวถูกแย่งลูกไป
       
       “กระแสที่ว่าแอนนี่ท้องก่อนที่ละครจะเปิดกล้อง 3 เดือน คือละครเรื่องนี้ถ่ายก่อนแล้วค่อยเปิดกล้องทีหลัง อย่าไปนับวันเปิดกล้องนะ เพราะว่าเราถ่ายไปก่อนหน้านั้นแล้วค่ะ ตั้งแต่กรกฎาคมแล้ว แต่เปิดกล้องประมาณเดือนกันยายน เรารู้จักกันก่อนหน้านั้นแน่นอน ถามว่าทำไมแอนนี่ไม่ป้องกัน ก็เพราะเราก็อายุขนาดนี้แล้วด้วย เรารักใครสักคนนึง รักมากจริงๆ อาจจะเป็นด้วยอารมณ์ที่เรารักเข้าไปในหัวใจ ณ เวลานั้นนะ แอนนี่ถามผู้หญิงทุกคน....ถ้าเรารักใครสักคน แล้วคนที่เรารักขอ เราจะไม่ให้เหรอ แต่แอนนี่ไม่ขอลงดีเทลนะ”
       
       “ก็ต้องบอกว่าแอนนี่หนักใจนะที่งานของเขาสะดุดอย่างนี้ ยอมรับว่าหนักใจเหมือนกัน แต่เราจะต้องยืนอยู่บนรองเท้าของเราให้ได้ ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ซึ่งที่แอนนี่ตัดสินใจไม่ตรวจ ไม่ว่าจะเพื่อความสบายใจ เพื่อความสะใจ หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ แอนนี่กลัว ถ้าตรวจแล้วฟิล์มก็มีสิทธิ์เต็มตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ในตัวลูกของแอนนี่ และแอนนี่ก็ไม่ใช่คนรวย เราต้องทำมาหากิน ฐานะที่บ้านก็ไม่ได้ดี”
       
       “คนส่วนใหญ่จะมองแอนนี่เป็นผู้หญิงไม่ดีไปแล้ว และถ้าเราไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงลูก แล้วพ่อมีฐานะดีกว่า เขาก็อาจจะดึงลูกของแอนนี่ไปได้ แอนนี่กลัวค่ะ แม้จะบอกว่ามันมีผลกับงานของเขา แอนนี่ก็เชื่อว่าผู้ใหญ่ต้องให้โอกาสเขา แต่สำหรับสังคมที่ต้องการคำตอบ ก็อย่างที่บอกค่ะว่า ลองหลับตาดู แล้วถามตัวเองในใจว่าเด็กคนนี้ใช่ลูกไหม สำหรับสูติบัตรของลูกแอนนี่ตอนนี้ไม่มีชื่อพ่อค่ะ เขาสามารถเว้นไว้ได้ค่ะ”
       
       “ถามว่าที่ทำอย่างนี้เพราะแอนนี่งอนเขาหรือเปล่า มันมากกว่าคำว่างอนนะคะ นึกภาพนะคะ ผู้หญิงคนนึงกำลังจะมีละครอีกหลายเรื่องเลยนะ กำลังจะมีหนังติดต่อเข้ามา เพราะเพิ่งจะได้มาเล่นกับทางช่อง 3 ได้ 3-4 เรื่อง เรากำลังจะมีงานที่ดี กำลังจะมีเงินเก็บให้แม่เรา แอนนี่อยากจะทำบ้านหลังใหม่ให้แม่ เพราะบ้านหลังเก่ามันก็ทรุดโทรมแล้ว เพราะทำไว้หลายปี”
       
       “ต่อไปในชีวิตแอนนี่ก็ไม่รู้ว่าจะได้แต่งงานหรือเปล่า ไม่รู้ว่าจะมีครอบครัวหรือเปล่า คิดว่าอาจจะอยู่คนเดียวด้วยซ้ำ เราอาจจะเก็บเงินไว้เพื่อตัวเองในอนาคตถ้าแก่ไป แต่แอนนี่กลับต้องมาเป็นอย่างนี้ ต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ ต้องมาเก็บตัว เพราะเรามีน้องแล้ว และเราเลือกตัดสินใจที่จะเก็บเขาไว้ ไม่ทำร้ายชีวิตเขา แล้วก็อยู่อย่างนั้นถึง 9 เดือนนะ”
       
       “ตรงจุดนี้ที่แอนนี่ยังยืนกรานที่จะเป็นอย่างนี้ สิ่งนึงคือมาจากแม่เลย เราเห็นตัวอย่างจากแม่เราแล้วว่า ไม่มีพ่อแต่ว่าเราอยู่ได้ เราไม่ได้รู้สึกขาดด้วย แอนนี่ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กมีปัญหานะ ไม่เคยมีเลย ทำไมทุกคนบอกว่าครอบครัวไม่อบอุ่น เดี๋ยวจะกลายเป็นเด็กมีปัญหา ต่อไปในอนาคต จะไปติดยา จะไปสำมะเลเทเมา แอนนี่ไม่เห็นเป็นเลย แอนนี่ไม่รู้สึกขาดใดๆ ทั้งสิ้น ขนาดเราทุกข์ด้วยนะ ทุกข์ยากลำบากแค่ไหน เราไม่ใช่คนรวย เรามาจากรากหญ้าจริงๆ เป็นคนจน บ้านมุงหลังคามุงจากเลย”
       
       “ถึงตอนนี้ก็ยืนยันเลยว่าไม่ให้ลูกแอนนี่กับใครทั้งนั้น ถึงได้บอกเลยค่ะว่า อีกเหตุผลนึงที่เราไม่อยากจะตรวจตรงนี้ เพราะไม่รู้ว่าสักวันนึงใครจะเอาลูกเราไปไหม เราอุตส่าห์อุ้มท้องตั้ง 9 เดือน เลี้ยงมาอีก 3 เดือน เลี้ยงเองทำเองทุกอย่าง ความเจ็บปวดทรมานที่ผู้หญิงคนนึงทุกข์มากมาย สักวันนึงถ้ามีใครมาเอาลูกเราไป แอนนี่คงหัวใจสลายแน่ แอนนี่ไม่เหลืออะไรแล้ว แอนนี่กลัวค่ะ ทุกวันนี้เราไม่เชื่อคำสัญญาของใครแล้ว อย่ามาสัญญากับเรา เราไม่เชื่อน้ำบ่อหน้าแล้วด้วย อย่ามาขายให้ไม่เอาแล้ว คืออย่ามาสัญญาว่าจะไม่เอาลูกไป แอนนี่ไม่เชื่อ”
       
       ยืนยันจะออกมาพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมโต้ได้รับเงินจากที่ต่างๆ เวลาไปออกรายการ
       
       “วันนี้แอนนี่ก็ขอรายการอาเป็นที่สุดท้าย สำหรับการจะพูดคุยเรื่องนี้ ก็ถ้าจะเป็นรายการต่อจากนี้ไป ก็ขอให้เป็นรายการเกี่ยวกับแม่ลูกแล้วกัน หนึ่งแอนนี่ไม่อยากพาดพิงถึงใครให้เสียหายอีกต่อไปแล้ว สองแอนนี่ต้องการจะเดินหน้าต่อไปกับลูก เพราะแอนนี่ต้องเลี้ยงลูกแล้ว คือแม่ทุกคนหิวได้ แต่ลูกแอนนี่ต้องอิ่มนะคะ และต้องบอกว่าเราไม่เคยมีการคุยเรื่องเงินกันเลย อย่างที่บอกไปแล้วว่าตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงวันนี้ ไม่มีใครให้เงินแอนนี่สักสลึงแดงเดียว”
       
       “แล้วก็ไม่มีใครมาเสนองานให้แอนนี่ว่าได้ละครได้อะไร ได้งานนั่นงานนี้ ไม่มีใครให้สิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น ยังไม่มี ซึ่งมาออกรายการวันนี้ก็ไม่เคยคุยเรื่องจำนวนเงินว่า ถ้ามาออกแล้วจะให้เท่านั้นให้เท่านี้ แอนนี่มาออกที่นี่เพราะอยากมาออกจริงๆ ด้วยใจเราจริงๆ ค่ะ เรื่องเซ็นสัญญาว่าถ้ามาออกตีสิบแล้วไม่ให้ไปออกรายการอื่น ก็ไม่มีอยู่แล้วค่ะ จะมาเซ็นทำไมล่ะคะ เป็นสิทธิส่วนบุคคล ถ้าแอนนี่อยากออกก็ออกได้ ถ้าไม่อยากออกแอนนี่ก็ไม่ออก”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)