เมโทรซิสเต็มส์ตั้งเป้ารักษาระดับรายได้และกำไรให้คงที่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ หวังปี 2009 รายได้ที่ 5,300 ล้านบาท กำไรในระดับเดิม 140-150 ล้านบาท พร้อมเปิดบริษัทใหม่ “เมโทรคอนเนค” เน้นขายส่งหวังแบ่งแยกธุรกิจให้ชัดเจนคู่ค้าไม่สับสน เผยภาครัฐยังคงเป็นตลาดหลักทำรายได้ ขณะที่ตลาดการศึกษาและโรงพยาบาลมีอนาคต เล็งกลุ่มSMB ทำรายได้ทดแทนองค์กรขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะประหยัดการใช้จ่ายกันมากขึ้น
บดินทร์ ปรปักษ์เป็นจุณ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันส่งผลให้ทุกองค์กรธุรกิจต้องปรับตัว ในส่วนบริษัท เมโทรฯ ก็เช่นกันโดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ทางบริษัทติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างใกล้ชิดพร้อมปรับกลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายและสอดคล้องกับแนวคิดขององค์กรที่ว่า “CUSTOMER SUCCESS IS OUR BUSINESS”
กิตติ เตชะทวีกิจกุล รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ช่วง3-4 ปีที่ผ่านมานี้เมโทรฯรักษาระดับรายได้ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท ต่อปี และคงกำไรในระดับ 140-150 ล้านต่อปี แม้ภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มไม่ค่อยดีนักในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ทางบริษัทก็ยังรักษารายได้และกำไรในระดับนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ
โดยรายได้หลักมาจาก3 ส่วนธุรกิจคือ กลุ่มธุรกิจฮาร์ดแวร์( ESG) ประมาณ 31-32% , กลุ่มผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์โซลูชัน(SIG) ประมาณ 25% และกลุ่มผลิตภัณฑ์วัสดุสิ้นเปลือง (OSG) ประมาณ 45%
ในปี 2009 เมโทรฯตั้งเป้ารายได้ที่ 5,300 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้คาดว่าจะมาจากกลุ่ม ESG ประมาณ 28% , มาจากกลุ่ม SIG ประมาณ 26% และอีก 45% มาจากกลุ่ม OSG ส่วนอีก 1 % ที่เหลือเป็นอื่นๆ
การที่สัดส่วนรายได้กลุ่ม ESG ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 28% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 31-32% เป็นเพราะมีการตั้งบริษัทใหม่ ชื่อ “เมโทรคอนเนค” แยกธุรกิจขายตรงออกจากช่องทางการจัดจำหน่าย โดยบริษัทนี้จะทำธุรกิจขายส่งฮาร์ดแวร์ให้กับคู่ค้า และเพื่อต้องการแบ่งแยกการทำตลาดให้ชัดเจนไม่ให้คู่ค้าเกิดความสับสนในแง่การทำตลาด ช่วยลูกค้าในการสร้างตลาดใหม่ๆ และดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มที่ โดยในปี2009 ตั้งเป้าบริษัทนี้จะทำรายได้ได้ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 5,300 ล้านบาท
ผู้บริหารเมโทรฯ กล่าวว่ารายได้ส่วนใหญ่ของกลุ่มบริษัทมาจากการทำตลาดในกทม.ประมาณ 70% ปริมณฑลประมาณ 12% รวมแล้วประมาณ 85% ส่วนอีก 15% เป็นรายได้จากตลาดต่างจังหวัดซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทำตลาดโดยตัวแทนจำหน่ายซึ่งมีความใกล้ชิดกับลูกค้ามากกว่าให้เมโทรฯทำตลาดเอง
“เรามั่นใจว่าจะรักษาระดับรายได้ในระดับนี้ไว้ได้เพราะเรามีฐานลูกค้าเก่าที่ซื้อซ้ำทำรายได้ให้เราถึง 95% หรือประมาณ 6,000-7,000 บริษัท ส่วนอีก 1,000 บริษัทเป็นลูกค้าใหม่ ซึ่งแน่นอนในปีนี้ทุกองค์กรต้องประหยัดการใช้จ่ายแต่การทำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจ”
อรุณ ต่อเอกบัณฑิต ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์โซลูชัน ( SIG) กล่าวว่า ในปี 2009 คาดว่าตลาดหลักยังอยู่ในส่วนราชการ โดยตลาดการศึกษาและตลาดโรงพยาบาลเป็นอีก2 ตลาดที่มีโอกาสในการขยายตัว ทั้งนี้เพราะในทุกภาวะเศรษฐกิจการศึกษาและโรงพบาบาลเป็นเรื่องของการเจ็บป่วยเป็นสิ่งจำเป็น
กลยุทธ์การทำตลาดในปี 2009 ของกลุ่ม SIG คือการชี้ให้เห็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้บริหารในการนำข้อมูลมาใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้นโดยการเชื่อมโยงข้อมูลในองค์กรเป็นหนึ่งเดียว และการประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการแชร์ข้อมูลซึ่งกันและกัน
ในส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์วัสดุสิ้นเปลือง( OSG ) ธงชัย หล่ำวีระกุล ผู้อำนวยการกลุ่ม กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อลูกค้าของบริษัทในจำนวนประมาณ 200 รายได้รับผลกระทบประมาณ 30%-50% ให้ต้องมีการประหยัดรายจ่ายประมาณ 30-50% แต่ในจำนวนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของลูกค้าของบริษัท โดยยังมีอีก 70% ที่ไม่ได้รับผลกระทบและเป็นกลุ่ม SMB การที่กลุ่ม SMB ไม่ได้รับผลกระทบเป็นเพราะไม่ได้เป็นบริษัทข้ามชาติ และทุกรายไม่ได้ทำธุรกิจส่งออก ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ผลกระทบในแง่รายได้
“ภาครัฐยังเป็นตลาดเนื้อหอมที่คาดว่าอัตราการใช้วัสดุสิ้นเปลืองยังไม่ลดลงจากการดูตัวเลขในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้ ส่วนในตลาดการศึกษาก็เช่นกัน นอกจากไม่ลดการใช้จ่ายแล้วคาดตัวเลขจะเพิ่มขึ้นด้วย”
บดินทร์ กล่าวถึงเป้าหมายในอนาคตว่ากลุ่มเมโทรฯต้องการขยายแนวธุรกิจให้ก้าวมากยิ่งขึ้นไม่ยึดติดอยู่กับการทำตลาดฮาร์ดแวร์เพียงกลุ่มเดียว โดยกระจายฐานลูกค้าออกไปในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมไม่อิงอยู่กับลูกค้ารายได้เพียง 5-6 ราย ทำให้มั่นใจได้ว่าปีนี้ของเมโทรฯจะไปสู่เป้าหมายได้
ที่มา: manager.co.th