เดวิด คาเมรอน (David Cameron) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ “อังกฤษ-เยอรมนี” ในการพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายเทคโนโลยี 5G ระบุ 3 มหาวิทยาลัยของ 2 ประเทศจะร่วมกันพัฒนาอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงพิเศษที่จะทำให้การดาวน์โหลดภาพยนตร์ทั้งเรื่องเกิดขึ้นได้ภายในเวลาไม่ถึง 1 วินาที นายกรัฐมนตรีอังกฤษประกาศความเคลื่อนไหวครั้งนี้ในงานแสดงสินค้าเทคโนโลยีครั้งใหญ่ของยุโรปอย่าง “ซีบิต 2014 (CeBIT 2014)” ที่เมืองฮันโนเวอร์ เยอรมนี โดยนอกจากเทคโนโลยี 5G นายกรัฐมนตรีอังกฤษยังระบุว่าอังกฤษจะให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการพัฒนาระบบอินเทอร์เน็ตออฟทิงส์ (Internet of Things) หรือระบบงานที่ทำให้เครื่องใช้ในบ้าน ทั้งตู้เย็น เตาอบ หรือเครื่องปรับอากาศสามารถทำงานเชื่อมต่อกับระบบออนไลน์ได้อย่างเป็นเนื้อเดียว ซึ่งทั้ง 2 ตลาดนี้จะสามารถส่งเสริมให้ตลาดดิจิตอลของสหภาพยุโรปขยายตัว
แม้อังกฤษจะมีบริษัทผลิตฮาร์ดแวร์ไอทีรายใหญ่อย่างผู้ผลิตชิปกราฟิกให้แอปเปิล “อิมเมจิเนชัน เทคโนโลยีส์ (Imagination Technologies)” และบริษัทผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมชิปสำหรับอุปกรณ์พกพา “เออาร์เอ็ม (ARM)” แต่นายกรัฐมนตรีอังกฤษระบุว่ารัฐบาลอังกฤษจะอัดฉีดเงินมากกว่า 45 ล้านปอนด์ (ราว 2.4 พันล้านบาท) เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาเทคโนโลยี Internet of Things ในอนาคต
สิ่งที่ทำให้อังกฤษให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยี Internet of Things คืออิทธิพลของ “internet of things” ที่คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญต่อผู้ใช้ทั่วโลกในอนาคต โดยหลักการของ Internet of Things คือการพัฒนาอุปกรณ์เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ได้ ซึ่งจะทำให้อุปกรณ์นั้นมีความสามารถพิเศษที่อัจฉริยะกว่าเดิม ตัวอย่างสินค้าภายใต้แนวคิดนี้ได้แก่ ตู้เย็นออนไลน์ที่เจ้าของเครื่องสามารถตรวจสอบสิ่งของในตู้ขณะอยู่ที่ร้านค้า หรือระบบไฟฟ้าที่ผู้ใช้สามารถสั่งเปิดได้จากนอกบ้าน จุดนี้ทำให้บริษัทชิปทั่วโลกพยายามเปิดตัวชิปรุ่นใหม่ที่ช่วยจัดการข้อมูลจากระบบ internet of things ได้แบบเรียลไทม์ ทันใจ และปลอดภัย
สำหรับเงินอัดฉีด 45 ล้านปอนด์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเชื่อว่าจะส่งผลให้อุตสาหกรรมยุโรปเติบโตมากกว่า 1 แสนล้านปอนด์ (ราว 5.4 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2025 หรืออีก 11 ปีนับจากนี้
ในส่วนเทคโนโลยี 5G อังกฤษมองว่าตัวเองต้องเร่งเครื่องพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ให้ทัดเทียมบริษัทสัญชาติจีนที่ถูกยกให้เป็นผู้นำในตลาดอุปกรณ์เครือข่ายอย่างหัวเว่ย (Huawei) โดยหัวเว่ยมีแผนเทเงินมากกว่า 444 ล้านยูโรเพื่อวิจัยและพัฒนาสินค้าเทคโนโลยี 5G ในช่วง 4 ปีนับจากนี้ เช่นเดียวกับรัฐบาลเกาหลีที่ระบุว่าจะเทเงินอย่างจริงจังเพื่อให้สามารถทดสอบเทคโนโลยี 5G ได้ทันช่วงปี 2017 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม การพยายามลงทุนในเทคโนโลยี 5G ถือเป็นการพยายามรุดหน้าประเทศอื่นในโลก เนื่องจากเทคโนโลยีที่ด้อยกว่า 5G อย่าง 4G นั้นคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้แพร่หลายในอีก 6 ปีข้างหน้า (ปี 2020) โดยหากคำนวณตามทฤษฎี 5G จะทำให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดข้อมูลด้วยความเร็วมากกว่า 4G ถึง 1,000 เท่าตัว (4G LTE มีความเร็วในการดาวน์โหลดราว 100 กิกะบิตต่อวินาที) ซึ่งคาดว่าจะมีการพัฒนาให้อุปกรณ์ 5G สามารถยืดอายุแบตเตอรี่ได้ดีขึ้น
ที่มา: manager.co.th
