“กันต์” พร้อมหุ้นส่วนแถลงเปลี่ยนชื่อคลินิกใหม่ พร้อมโชว์ใบอนุญาต โต้ไม่ใช่คลินิกเถื่อน เผยศาลรับฟ้องแล้ว คดีที่ยื่นฟ้อง “พ่อไฮโซน้ำหวาน” ขู่ฆ่า ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 6 พ.ย.นี้ พร้อมลุยฟ้องแพ่งด้วย แจงยังไม่ได้รับการติดต่อจากทางคู่กรณีเรื่องปัญหา มีแต่อีกฝ่ายโทร.ทวงโคมไฟที่เคยให้มา รับอยู่ด้วยความหวาดกลัว มีความเคลื่อนไหวออกมาแล้ว ในส่วนของทางด้านของ “กันต์ กันตถาวร” รวมถึงหุ้นส่วนคลินิก Skin Buffet ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่อาคารวินิสสา (ย่านชิดลม) ชั้น 25 หนุ่มกันต์ และหุ้นส่วนฯ ประกอบด้วย ภีมพิพัฒน์ มโนมัยกุล และ เจษฎา นิรมิตวิจิตร กรรมการผู้จัดการ ได้เปิดแถลงข่าวเปลี่ยนชื่อคลินิคจากชื่อเดิมมาเป็น Buffet Clinic ทั้งยังได้เชิญ “พลโทหม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล” มานั่งเป็นประธานกิตติมศักดิ์ พร้อมกับเผยเกี่ยวกับความคืบหน้าคดีที่ยื่นฟ้องพ่อของ “ไฮโซน้ำหวาน วรพรรณ พันธุ์คงชื่น” ขู่ฆ่าว่าตอนนี้ศาลได้ประทับรับฟ้องแล้ว รวมไปถึงเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคลินิคเถื่อนจนเกิดความเสียหายหลายล้านบาท ว่าตอนนี้ทางคลินิกได้ใบประกอบการมาแล้ว ไม่ใช่คลินิคเถื่อน
ภีมพิพัฒน์ มโนมัยกุล : “วันนี้จะมาแถลงสองเรื่องคือการเปลี่ยนกรรมการบริหารคนใหม่ โดยมีท่านพลโทหม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล เป็นประธานกรรมการกิตติมศักดิ์นะครับ และสองคือเรื่องของการเปลี่ยนชื่อคลินิกจากสกินบุฟเฟ่คลินิก เป็นบุฟเฟ่คลินิคครับ”
หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล : “ขอบคุณท่านผู้สื่อข่าวทั้งหลาย ที่ผมมารับเป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ให้กับลูกๆ หลานๆ ผมเพราะผมเห็นว่าทุกท่านเป็นคนที่น่ารักมาจากครอบครัวที่ดี และมีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างดี แต่ตอนเริ่มต้นอาจจะมีเรื่องจากหุ้นส่วนกันบ้างหรืออะไรเป็นการที่ไม่เข้าใจกันบ้าง ตอนนี้ก็มาเริ่มต้นกันใหม่ครับ ส่วนเรื่องรายละเอียดปีกย่อยหรือลึกๆ ผมก็ต้องเรียนตามตรงว่าผมไม่ค่อยทราบ แต่ในเมื่อทางกรรมการซึ่งเปรียบเสมือนลูกๆ หลานๆ ผมเข้ามาปรึกษาผม ขอให้ผมมาเป็นหลักหน่อยในฐานะที่ผมเป็นผู้ใหญ่อายุมาก”
“ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่ออีกเรื่องหนึ่ง เพราะระหว่างสองคนแก่กับคนหนุ่ม ซึ่งคนหนุ่มอาจจะไปรวดเร็ว แต่คนแก่อาจจะสุขุมรอบคอบกว่า เพราะฉะนั้นผมก็ยินดีที่มาช่วย เพราะเห็นว่าคลินิคนี้มันน่าสนใจ เพราะว่าคนหลายวัยก็มาทำทรีทเม้นท์มาทำสเตมเซลล์ทำได้ตอลด 24 ชั่วโมง ฉีกแนวจากคลินิคอื่นๆ บางท่านอาจจะติดธุระมาตอนไหนมาได้มาเที่ยงคืนยังมาได้ เพราะว่าเราเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ผมก็ถือว่าเป็นเรื่องดีครับ แล้วก็มีหลักฐานไม่ใช่ว่าจะมาทำกันชุ่ยๆ จะมาหลอกกันก็ไม่ใช่ เพราะว่าสิ่งที่เขาตั้งใจทำกัน แต่เกิดความขัดแย้งกันระหว่างหุ้นส่วนกันบ้างบางคนที่อาจจะมองไปอีกทางด้านหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ไม่อยากเอ่ยกล่าวอะไรมากครับ”
เจษฎา นิรมิตวิจิตร : “ในส่วนของกรณีที่แถลงข่าวไปครั้งที่แล้ว ในเรื่องของหุ้นส่วนตอนนี้ก็ค่อนข้างดีลงตัวแล้ว แล้วเราก็เปลี่ยนกรรมการชุดใหม่ แต่อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง ทางเราก็ให้ผู้ใหญ่มาช่วยแก้ไขต่างๆ ให้ครับ ตอนนี้ก็ให้ท่านมาเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับอิทธิพลมืดต่างๆ ที่เราได้ประสบมา ตอนนี้ก็เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว แล้วก็ได้บัตรอนุญาตต่างๆ”
หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล : “คือขออนุญาตเสริมนิดหนึ่ง ผมว่ามันน่าเกลียดนะครับ ถ้าเป็นเรื่องภายในความคิดเห็นไม่ตรงกัน แต่มันถึงขนาดขู่ฆ่ากันมันไม่ใช่แล้วครับ”
เจษฎา นิรมิตวิจิตร : “ในเรื่องของการขู่ฆ่าได้ดำเนินการตามกฎหมายไปเรียบร้อยแล้วครับ ทางศาลก็ประทับรับฟ้องแล้ว ชื่อคดีว่าคดีข่มขู่ให้ไม่มีเสรีภาพแล้วก็ขมขู่ฆ่า แล้วก็จะไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้ครับ เห็นว่าคดีมีมูลศาลเลยรับ เป็นคดีอาญา เป็นคดีที่ยอมความไม่ได้ แพ่งก็ฟ้องแต่ยังไม่เสร็จครับ แต่ก่อนฟ้องก็ปรึกษาผู้ใหญ่แล้วครับ หักฐานก็ชัดๆ อยู่แล้วคลิปเสียง ก็ถอดออกมาเป็นคำพูดก็แจ้งไป คนที่ทำก็ค่อนข้างมีอิทธิพล ก็น่าจะพอรู้ประวัติมาบ้างก็ไม่อยากจะไปพาดพิงถึงมากก็โดนครับ ที่บอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรหรอก แต่เป็นห่วงน้องเขา”
เผยหลังจากแถลงข่าวเมื่อครั้งที่แล้ว ตนก็ไม่ได้รับการติดต่อจากคู่กรณี
เจษฎา นิรมิตวิจิตร : “ติดต่อไม่มีครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นก็อาจจะกลั่นแกล้งทางด้านอื่นยังมีอยู่ แต่ว่าเรื่องดีเทลการกลั่นแกล้งของเขาเราก็ไม่อยากจะพูดถึงเท่าไหร่ มันก็หลายวิถีทางอยู่ (ยกตัวอย่างอันที่ร้ายแรงได้ไหม?) จริงๆ เอาตรงๆ คือถ้าพาดพิงถึงครอบครัวนี้ผมค่อนข้างจะกลัวตัวเองเดือดร้อน เพราะว่ามันจะเป็นประเด็นได้ทุกอย่างเลย”
“จริงๆ อย่างล่าสุดที่เป็นข่าวออกไปเรื่องคุณหนิง เพราะว่าจริงๆ คุณหนิงก็เป็นเพื่อนกันมานาน เขาก็เป็นห่วงเป็นใย วันนี้ก็ส่งดอกไม้มาให้ด้วยเป็นกำลังใจให้ กลัวเดี๋ยวถ้าไปพาดพิงถึงเขาเราจะโดนฟ้องโดนอะไรอีก เพราะว่าทางคุณหนิงก็ แต่คุณหนิงไม่ได้โดนฟ้องนะครับ ไปฟ้องเขา เหมือนกับคนเราพอทำอะไรก็ต้องว่ากันด้วยหลักด้วยฐานนะครับ เราไปกล่าวหาเขาก็เหมือนทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่มีมูลคุณหนิงก็ฟ้องไปแล้ว เรื่องหมิ่นประมาทศาลก็ประทับรับฟ้องทางฝั่งเรากับคุณหนิงทำอะไรก็ว่ากันไปตามหลักฐาน”
เผยหุ้นของ “ไฮโซน้ำหวาน” ตอนนี้ยังไม่ลงตัว
เจษฎา นิรมิตวิจิตร : “ก็ยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ รอน้องเขาเข้ามาเคลียร์ตัวเองอยู่ แต่เห็นว่าน้องเขาประสบปัญหาหลายๆ เรื่อง หลายๆ อย่าง เราก็เลยไมได้ไปติดตามอะไรเขามากครับ หุ้นของเขาเราก็คืนให้ไปแล้วครับ เขาจะเอาไปขายใครก็ขึ้นอยู่กับเขาครับ แต่เขายังไม่ได้ติดต่อมาว่าเขาจะขายหรือจะยังไงอันนี้ยังไม่ทราบครับ”
แจงเปลี่ยนชื่อคลินิคเพราะว่า….
เจษฎา นิรมิตวิจิตร : “ที่เราเปลี่ยนชื่อคลินิก เพราะจริงๆ แล้ว คำว่าสกินบุฟเฟ่จะต้องใช้แพทย์ผิวหนังที่จบจากผิวหนังโดยตรง แต่พอดีทางแพทย์ของเราไมได้จบผิวหนังโดยตรงเป็นแพทย์ตามปกติ ก็เลยเปลี่ยนมาใช้ให้ถูกต้องตามหลัก (เกี่ยวกับน้ำหวานไหม?) จริงๆ ก็มีส่วนบ้าง แต่ขอไม่พูดดีเทลเยอะแล้วกัน เดี๋ยวจะโดนฟ้องอีก กลัวไปหมด(หัวเราะ)”
หลังจากทีแถลงวันนี้กลัวโดนขู่อีกไหม?
เจษฎา นิรมิตวิจิตร : “คือต้องเอาจริงๆ ก่อนว่าตามประสบการณ์ที่เห็นคนอื่นโดนมาคิดว่าคงโดนได้หลายอย่าง สิ่งที่เขาทำได้ค่อนข้างเยอะครับ แต่ว่าเราก็ต้องสู้ต่อไป ทำมาถึงขั้นนี้แล้ว เราก็ต้องให้ผู้ใหญ่มาคอยช่วยเหลือแล้วคิดว่าคงได้รับความเป็นธรรมอยู่บ้างครับ คือถ้ามาทำอะไรผมคนเดียวไม่เป็นไรหรอก จะมาทำอะไรผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่ามาขู่กันแบบนี้ ดึกๆ มาดักทำร้ายเราอยู่ข้างล่าง คุณกันต์กำลังทำธุระอยู่ในคลินิคจะโดนไปด้วยหรือเปล่าอันนี้ก็เรื่องหนึ่ง ไอ้ทำอินสตาแกรมมาก็อีกเรื่องหนึ่งจงใจให้เราเสียชื่อเสียง”
“แต่ก็มีอินสตาแกรมอีกอันหนึ่งอีกว่าเราอยู่เบื้องหลังการทำร้ายร่างกาย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไปบอกให้ใครให้ทำร้ายเขา แต่โดยส่วนตัวรู้จักกับคุณหนิงอยู่แล้ว แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไม่คุยกันเพราะว่าคุณน้ำหวานเขาอยากทำธุรกิจตัวนี้ แต่เราก็รู้จักทั้งสองฝั่ง แต่งานมันก็เกี่ยวกับงานมันไม่ได้เป็นเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว เราก็แยกแยะออก เราก็ให้โอกาสมาทำ แต่คุณหนิงเขาก็แสดงความเป็นห่วงมาตลอด เป็นน้องก็เป็นห่วงว่าเป็นไงบ้าง แต่คนที่นับถือเราเขาก็อยู่ข้างเราอยู่แล้ว”
“ถามว่าหวาดกลัวไหม เอาตรงๆ ผมก็ไม่ห่วงตัวเองเท่าไหร่ ห่วงคลินิคมากกว่า เพราะว่าเรามีหุ้นส่วนเรามีลูกค้า เราก็ไม่ทราบว่าอีกฝั่งหนึ่งเขาทำอะไรบ้าง แต่เท่าที่ดูข่าวอีกฝั่งหนึ่งเขาก็ค่อนข้างทำได้เยอะอยู่ เพื่อนๆ ก็เป็นห่วงเป็นใย ถามว่าใช้ชีวิตปกติไหม ก็ปกติตอนนี้ศาลประทับรับฟ้องแล้ว คือถ้าศาลยังไม่ประทับรับฟ้องผมก็ยังค่อนข้างจะห่วงตัวเอง แต่ตอนนี้ศาลประทับรับฟ้องแล้ว ถ้าเขามาทำร้ายอะไรผม เขาหนีไม่พ้นความผิดแน่นอน คือตอนนี้มันเริ่มชินแล้ว หวาดกลัวเป็นระยะๆ เพราะเขาทำหลายอย่าง ไม่อยากพาดพิงถึงคุณหนิงก็สงสารคุณหนิงเหมือนกันก็โดนหน้าหนึ่งไปเลย ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็โดนหน้าหนึ่งไปด้วย”
เมื่อถามว่าถ้าคู่กรณีขอเคลียร์นอกรอบจะมีโอกาสไหม? เจ้าตัวก็บอกว่า…
เจษฎา นิรมิตวิจิตร : “จริงๆ ตามที่ผมรู้จักฝั่งนั้นมาคงไม่มาไกล่เกลี่ยหรอกครับ คือแค่ขอว่าไม่ต้องมายุ่งอะไรกับผมมาก ผมก็ดีใจมากแล้ว”
ยอมรับว่าที่เชิญ “หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล” มาเป็นประธานกิตติมศักดิ์เพราะต้องการเรียกความมั่นใจกับลูกค้า
เจษฎา นิรมิตวิจิตร : “อันนี้ต้องบอกก่อนเลยว่าเหตุผลที่เชิญท่านมาเป็นกรรมการก็เพราะว่าเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกท่าน ว่าทีมงานของเราก็มีศักยภาพ เชิญเจ้านายผู้ใหญ่มาเป็นกรรมการของบริษัท แล้วใบอนุญาตเราก็เตรียมมาโชว์ให้ดูแล้วว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวออกไป มีการสร้างอินสตาแกรมใส่ร้ายพยายามหลายวิถีทางให้เราประสบปัญหา จริงๆ เราก็อยากจะขอวอน ผมไม่ทราบนะครับว่าใครเป็นคนทำ แต่ก็อยากจะขอวอนว่าหยุดเถอะ อย่าทำร้ายกันอีกเลย เราก็ไม่ได้ไปทำร้ายอะไรเขา เราก็อยู่ของเรา ทำงานของเราไปครับ ผมไม่รู้ว่าข่าวออกไปขนาดไหน ก็ไม่ใช่คลิกนิคเถื่อน อย่างคุณกันต์โดยเอารูปไปโพสต์แล้วบอกว่าหมอเถื่อน คือเจตนาคนเราไม่ดีนะครับ คนดีๆ เขาไม่ทำเรื่องแบบนี้กันหรอก”
“ความเสียหายมันเยอะอยู่แล้วครับ เป็นหลักหลายล้านบาทครับ เพราะปิดคลินิคไปเดือนหนึ่ง แต่ว่าพูดตรงๆ ว่าเราไม่ได้ห่วงเรื่องเงินเท่าไหร่แล้ว เราห่วงเรื่องชื่อเสียง เรื่องความปลอดภัย เรื่องผลประโยชน์ของทุกท่านมากกว่าครับ ตอนเปิดคลินิคผมก็มีความอยากทำธุรกิจตรงนี้ เพราะว่าผมทำธุรกิจอยู่หลายตัว ก็เลยเอามาปรึกษากับเพื่อนๆ ก็ในขณะที่คลินิดเปิดเป็นรูปเป็นร่างก็มีคุณน้ำหวานเข้ามา พอเข้ามาก็ทยอยๆ ก็มีความขัดแย้งมาเรื่อยๆ”
หวังว่าคนจะไม่เสื่อมความมั่นกับคลินิคของตน
เจษฎา นิรมิตวิจิตร : “ไม่อยากจะมองตรงนั้นแล้ว เพราะตอนนี้คลินิคเปิดแล้วก็ต้องมาพิสูจน์กันว่าเราทำดีไหม เครื่องมือเราดีไหมมากว่า คนไม่ดีเขาจะทำอะไรเขาทำอะไรเราไม่ได้เพราะว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด เขาก็อาจจะทำในส่งที่เขาทำได้ แต่เราก็ถือว่าเราทำดีไม่ได้ทำอะไรผิดก็หวังว่าทุกคนคงจะเห็นใจแล้วก็มองที่ผลงานมากกว่าครับ”
บอก “ไฮโซน้ำหวาน” โทร.ทวงโคมไฟที่ให้มาแล้ว แขวะนึกว่าจะโทรมาเรื่องอะไร
เจษฎา นิรมิตวิจิตร : “เขาก็มีโทร.มา นึกว่าจะโทร.มาเรื่องอะไร ปรากฏว่าโทร.มาทวงโคมไฟ แล้วบอกว่าจะส่งคนมาหลายคนด้วยนะครับ”
ด้านหนุ่ม “กันต์ กันตถาวร” ชี้แจงถึงสาเหตุที่เปิดคลินิควันนี้
“จริงๆ ก็ด้วยสาเหตุหลายๆ ประการ ในเรื่องของฤกษ์ในเรื่องของความลงตัว หลายๆ อย่าง คิวของทุกๆ คนที่ไม่ค่อยจะว่างตรงกันสักเท่าไหร่ แล้วก็แถลงเพื่อที่จะได้ทราบตรงกันว่ามีผู้สื่อข่าวเป็นสื่อกลางว่าตอนนี้จริงๆ คลินิคเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการโดยการเปลี่ยนชื่อจากสกินบุฟเฟ่เป็นบุฟเฟ่คลินิคนะครับ ใบรับรองทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครับ แล้วในเรื่องที่เกิดปัญหาขึ้นนั้นขอเป็นตัวแทนในฐานะหนึ่งในหุ้นส่วน คงไม่มีใครเกิดปัญหาที่ไม่ดีขึ้นหรอกในฐานะคนทำธุรกิจ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็คิดว่าทุกๆ ฝ่ายคงจะแก้ปัญหาให้มันจบลงเร็วที่สุด ให้เกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย คงไม่มีใครอยากให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเดือนร้อนนะครับ”
“เรื่องที่เกิดขึ้นก็ต้องยอมรับตรงๆ ว่ามันก็เกิดผลกระทบกับบริษัทในทางที่ไม่ดี แต่ว่ามันก็เป็นสื่อๆ หนึ่งที่คืออาจจะเห็นว่ามีคนทำอินสตาแกรมขึ้นมา ผมได้รับเอง มีการแทคนักข่าวทุกๆ ท่าน ดารานักแสดงหลายๆ คน รวมถึงตัวผมเองด้วย ว่าผมเป็นหมอเถื่อน ผมจบการตลาดมาครับ ผมไม่ได้จบหมอ และผมไม่ได้เป็นแพทย์ทางผิวหนัง ผมทำธุรกิจ เพราะฉะนั้นมันขึ้นอยู่กับวิจารณญาณในการจะเสพสื่อ และก็เป็นคนที่มีการศึกษารับสื่อก็ต้องรับทั้งสองฝ่ายก็จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
คิดว่าการทำเป็นการกระทำของอีกฝ่ายไหม?
“อันนี้อย่าพาดพิงถึงกันเลย อันนี้ไม่ทราบ แต่เราก็หวังว่าคงไม่ใช่เขาหรอก ในเชิงที่เรามองคือไม่อยากให้เกิดปัญหา ไม่มีใครอยากจะทำร้ายซึ่งกันและกัน ก็หวังว่าให้มันเป็นความเข้าใจผิดที่มันเกิดขึ้นเท่านั้นเอง ถ้าวันนี้มันเข้าใจถูกต้องด้วยกันทุกฝ่ายแล้ว มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นนับจากวันนี้เป็นต้นไปครับ”
“ผมไม่เคยโดนอะไรส่วนตัวครับ แต่ว่ามันก็ก่อให้เกิดความหวาดกลัวในการใช้ชีวิตมากขึ้นครับ ในฐานะหุ้นส่วนในเชิงธุรกิจมันก็ส่งผลกระทบครับ แต่วันนี้ก็ได้ออกมาเคลียร์ทุกย่างแล้ว สำหรับในส่วนตัวผมเองได้รับผลกระทบไหม ตอบเลยว่าไม่เพียงแต่เกิดความเป็นห่วงเป็นใยจากคนรอบข้างเท่านั้นเองครับ แต่ทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เกิดสิ่งที่ดีทั้งคนที่ถูกกระทำแล้วคนที่กระทำ ผมว่าจริงๆ แล้วไม่ได้ทราบว่าใครเป็นคนทำนะครับ แต่ด้วยวิจารญาณก็น่าจะรู้ว่าสิ่งที่ทำมันไม่ถูกต้องเท่านั้นเอง แต่คิดว่าคงจะได้รับความเป็นธรรมและถูกต้องทั้งสองฝ่ายครับ”
ลั่นไม่ฟ้อง กรณีถูกเอารูปไปโพสต์ว่าเป็นหมอเถื่อน
“คงไม่ครับ เพราะว่าผมจบการตลาด ไม่ได้จบกฎหมายครับ แล้วก็ไม่ได้เป็นหมอเถื่อน เพราะว่าไม่ได้จบหมอ แล้วที่อาจจะเปลี่ยนชื่ออาจจะเพราะว่าชื่อเดิมเรื่องเยอะมาก เลยเปลี่ยนชื่อซะ”
“แต่ก็อยากจะบอกว่าทั้งหมดในวันนี้เราทำไปเพื่อให้รู้ว่าเราเปลี่ยนชื่อ แล้วก็คลินิคเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว เราทำไม่ได้เพื่อที่จะดิสเครดิตใคร เพียงแต่ต้องการเอาเครดิตของตัวเองและคลินิคกลับคืนมาแค่นั้นเอง คนเราทำธุรกิจครับ ก็คงอยากได้กำไร ทำแล้วสำเร็จคงไม่มีใครทำแล้วอยากให้เกิดปัญหา แต่ว่าถ้าปัญหามันเกิดขึ้นมาก็โตๆ กันแล้วครับ ก็ใช้ปัญญาแก้ไขในปัญหาที่เกิดขึ้นมา ไม่มีการดิสเครดิตซึ่งกันแล้วกันครับ”
ที่มา: manager.co.th