“จา พนม” ส่งจดหมายแจงเรื่องสัญญาพร้อมระบายความในใจ เผย 10 ปีที่ผ่านมาไม่ต่างอะไรจาก “ลูกจ้าง” รับเดือนละ 5 หมื่น ส่วนแบ่งอื่นๆ แล้วแต่ทางสหฯ จะจ่าย แฉอดีตต้นสังกัดปัดงานหนังฟอร์มใหญ่หลายเรื่องโดยที่ตนไม่มีส่วนในการตัดสินใจ ลั่นยังเคารพรัก “เสี่ยเจียง” แต่จากนี้ขอเป็นผู้กำหนดอนาคตตัวเอง ยืนยันไม่เคยได้รับหรือเซ็นหนังสือต่อสัญญาใหม่ ยังเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจไม่น้อยสำหรับเรื่องราวของนักแสดงหนังแอ็กชันชื่อดังของไทย “จา พนม ยีรัมย์” หลังเจ้าตัวได้ออกมาโชว์หนังสือบอกเลิกสัญญากับทางต้นสังกัดสหมงคลฟิล์มฯ พร้อมข่าวเตรียมตัวไปร่วมแสดงหนังแอ็กชันเรื่อง “Fast and Furious 7” ก่อนที่ในเวลาต่อมาทางฟากของ “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” จะออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวโดยยืนยันว่าทาง “จา พนม” ยังเป็นนักแสดงในสังกัดของตนอยู่ เพราะได้มีการส่งหนังสือแสดงความประสงค์ในการต่อสัญญาไปให้นักแสดงหนุ่มรับทราบแล้ว
พร้อมลั่นจะเอาเรื่องกับผู้สร้าง “Fast and Furious 7” แน่ หากนำ “จา พนม” ไปแสดงโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้มาขออนุญาตตนเองก่อน
ล่าสุดก็เป็นทางด้าน “จา พนม” เองที่ได้ส่งหนังสือลงลายเซ็นของตนเองโดยมีเนื้อหาเพื่อขอชี้แจงและอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งในเนื้อหานั้นเจ้าตัวเปิดเผยว่าตนเองได้ทำสัญญากับทางค่ายสหมงคลฟิล์มฯ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2546 และสิ้นสุดลงในวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ตนมีฐานะอะไรที่ไม่ผิดกับ “ลูกจ้าง” ที่จะได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือนๆ ละ 50,000 บาท และเมื่อตนแสดงหนังแต่ละเรื่องจะได้รับสวนแบ่งจากผลกำไรตามที่บริษัทจะกำหนด นอกจากนี้บริษัทก็จะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์แต่เพียงผู้เดียว รวมไปถึงการตัดสินใจในการรับงานแสดงในแต่ละครั้งด้วย
นักแสดงแอ็กชันคนดังยังบอกต่อไปด้วยว่าตนมารู้ทีหลังว่าที่ผ่านมาทางต้นสังกัดได้ตัดสินใจแทนตนเองด้วยการบอกปัดงานภาพยนตร์จากผู้สร้างต่างประเทศหลายต่อหลายเรื่อง อาทิ Rush Hour 3, Fast and Furious 6 โดยที่ตนไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อน ซึ่งเมื่อวันที่สิ้นสุดสัญญามาถึง ทำให้ตนดีใจเป็นอย่างมาก พร้อมยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่เคยไปลงนามเซ็นสัญญาจ้างฉบับใหม่ใดๆ กับบริษัท รวมถึงไม่เคยได้รับหนังสือแจ้งต่อสัญญาเดิมในเรื่องนี้เลยจนถึงวันสิ้นสุดสัญญาเช่นกัน
โดยหลังจากวันที่สัญญาสิ้นสุดลงตนก็ได้ส่งจดหมายไปบอกบริษัทว่าสัญญาสิ้นสุดแล้วเพื่อที่จะได้กำหนดเส้นทางชีวิตตามความฝันของตนต่อไป ส่วนที่บริษัทอ้างว่าได้ส่งหนังสือแจ้งต่อสัญญาจ้างไปที่จังหวัดสุรินทร์ ตนเองไม่เคยได้รับ ซึ่งบุคคลที่เกี่ยวข้องก็ทราบเป็นอย่างดีว่าตนไม่ได้อยู่ที่สุรินทร์มานานหลายปีแล้ว และบริษัทก็ไม่เคยแจ้งให้ตนทราบถึงเรื่องการส่งหนังสือไปที่สุรินทร์เลย
นักแสดงหนุ่มยืนยันว่าตนเองยังคงรักและให้ความเคารพกับทางเสี่ยเจียงรวมถึงผู้กำกับอย่าง “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” และผู้ที่มีส่วนสอนตนเองในเรื่องของการแสดงแอ็กชันอย่าง “พันนา ฤทธิไกร” อยู่เสมอ และไม่คิดที่จะมีกรณีพิพาทกับอดีตต้นสังกัดแต่อย่างใด ซึ่งในท้ายจดหมายนั้น ทางจาได้ขอความเห็นใจและขอกำลังใจจากประชาชนชาวไทย เพื่อให้ตนเองได้มีโอกาสไปแสดงศิลปะการต่อสู้ในรูปแบบประยุกต์ของไทยให้คนทั่วโลกได้ชมผ่านงานภาพยนตร์ต่อไปด้วย
ทั้งนี้ในส่วนของข้อสัญญาที่เป็นปัญหากันอยู่ในตอนนี้ก็คือข้อ 3 ที่ระบุว่า...“สัญญาฉบับนี้มีผลผูกพันบริษัท กับนักแสดง ครูฝึก และผู้ควบคุม เป็นระยะเวลา 10 ปี (สิบปี) นับแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2546 ถึง วันที่ 24 กรกฎาคม 2556 ในกรณีที่บริษัทมีความประสงค์จะต่อสัญญาออกไป บริษัทจะต้องแจ้งความประสงค์ไปยังนักแสดง ครูฝึก และผู้ควบคุม ทราบล่วงหน้าก่อนครบกำหนดอายุสัญญาไม่น้อยกว่า 2 เดือน เมื่อบริษัทได้แจ้งความประสงค์ดังกล่าวแล้วให้ถือว่ามีการต่ออายุสัญญานี้ออกไปตามความประสงค์ของบริษัททันที” ซึ่งตรงนี้ทางเสี่ยเจียงเองยืนยันว่าได้ส่งหนังสือแจ้งความประสงค์ไปให้กับจาแล้วตามที่อยู่ในจังหวัดสุรินทร์โดยมี “หัทยา ยีรัมย์” พี่สาวของจาเป็นผู้เซ็นรับเอกสาร ขณะที่ทางจาก็ยืนยันว่าไม่เคยเห็นเอกสารที่ว่า และปัจจุบันตนก็ไม่ได้พำนักอยู่ที่บ้านที่ จ.สุรินทร์ ตามที่อยู่ที่มีการส่งเอกสารไปแต่อย่างใด
ที่มา: manager.co.th