“พิ้งกี้” ไม่แคร์ “สุมันต์” เป็นพ่อหม้าย บอกฝ่ายชายหย่านานมากแล้ว ยันสัมพันธ์ตอนนี้ยังเป็นแค่เพื่อนกันอยู่ ถ้าคบแล้วใช่ไม่นานก็คงจะเป็นแฟนกัน เผยฝ่ายชายชอบกินน้ำปลาคลุกข้าว ตอนไปอินเดียตนเลยซื้อน้ำปลาไปฝาก ถูกเผยภาพถึงเนื้อถึงตัวกันระหว่างนางเอกสาว “พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช” และนักแสดงหนุ่มมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจผลิตภาพยนตร์ “สุมันต์” ระหว่างไปเที่ยวผับ จนฝ่ายชายถูกคุ้ยประวัติจนทราบว่าพระเอกอินเดียคนนี้เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว ซึ่งพิ้งกี้ยอมรับฝ่ายชายเคยแต่งงานมาก่อน แต่เลิกไปนานแล้ว ซึ่งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับพระเอกหนุ่มอินเดียยังเป็นแค่เพื่อนกัน
“ช่วงนี้มีเรื่องดีๆ หลายๆ อย่างเกิดขึ้นค่ะ เรื่องงานเป็นเรื่องหลักส่วนเรื่องหนุ่มๆ เป็นเรื่องรอง คนที่เป็นข่าวด้วยอยู่ตอนนี้ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ค่ะ เป็นเพื่อนกันไปก่อน ถ้าเกิดมันใช่และโอเค ไม่นานเราก็คงจะเป็นแฟน แต่ตอนนี้ยังค่ะ เราก็คุยกันแค่เป็นยังไงบ้างถามสารทุกข์สุขดิบ แต่ไม่ได้คิดถึงอนาคตเป็นแฟน เราก็คุยกันมาอย่างนี้ 4 เดือนแล้ว ณ ปัจจุบันก็ไม่ได้บอกว่าเป็นแฟน ก็ขอเป็นเพื่อนกันก่อน ยังไม่มีว่าเขาเข้ามาจีบเรา”
“จริงๆ เขาเองก็เคยแต่งงานมาแล้วค่ะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว และก็เลิกกันมาเมื่อปี 2006 นานมาแล้ว เป็นเรื่องปกตินะ แล้วอย่างที่บอกเรายังไม่ได้เป็นแฟนเขา ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ (ถามถึงโอกาสพัฒนากับคนที่เคยมีครอบครัวมาแล้ว เราซีเรียสไหม?) คนเราจะเจอรักทันทีมันก็ไม่ใช่ ถ้าเขาจะเจอรักแท้ในอนาคตมันก็เป็นอีกเรื่องนึง ไม่ใช่ว่าพอแต่งงานแล้วเขาอย่า จะกลายเป็นพ่อหม้ายมีแฟนไม่ได้เลย มันก็ไม่ใช่”
“อย่างที่บอกแหละค่ะว่าตอนนี้เราเป็นเพื่อนกับเขาอยู่ โอกาสพัฒนามันเป็นเรื่องของอนาคต มีโอกาสเขาก็อาจจะกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกก็ได้ เราก็ดูแลเพราะเขาไม่มีเพื่อนที่เมืองไทยเราก็ดูแลเขาปกติ เขาชอบเมืองไทยมากเลยค่ะ เขาบอกว่าเขาชอบกินน้ำปลามากค่ะ เขาอยู่ง่ายกินง่าย พาไปกินอะไรก็กินได้ทุกอย่าง เราไปอินเดียครั้งที่แล้วก็เอาน้ำปลาไปให้เขากินเพราะเขาชอบกินน้ำปลาคลุกข้าว”
เผยเซ็นสัญญากับทางอินเดียผ่านมาแล้ว 2 ปี โดยจะรับงานปีละ 1-2 เรื่อง ควบคู่ไปกับการรับงานที่เมืองไทยเท่าๆ กัน
“เซ็นสัญญากับทางอินเดียตั้งแต่ที่ไปร่วมงานกับเขาแล้วก็ประมาณ 3 ปี ก็ตกลงกันว่าปีนึงจะเล่นหนังให้เขา 1-2 เรื่อง ตอนนี้ก็ผ่านมา 2 ปีแล้ว ถ้าเราไม่เซ็นทางเขาก็เหมือนกับว่าเขาก็จะทำอะไรไม่เต็มที่ อย่างเรื่องของการโปรโมต หรือเวลาที่เรามีงานอย่างอื่นที่นั่นเขาก็จะช่วยสกรีนงานให้เราด้วย ซึ่งมันไม่มีผลในการรับงานของเราที่เมืองไทย เพราะที่นี่เราก็อิสระอยู่แล้ว จะทำอะไรก็ได้ อย่างไปทำงานที่โน่น ด้วยความที่เราเพิ่งจะเริ่มไป แล้วคนที่เราเซ็นด้วยก็เป็นคนที่เรารู้จัก ก็เลยมั่นใจและไว้ใจเขา”
“ก็เต็มที่กับทั้งสองที่ทั้งที่อินเดียแล้วก็เมืองไทย ด้วยความที่บทที่โน่นมันค่อนข้างเป็นอะไรที่หลากหลายมาก มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ค่อนข้างจะดี ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นในชีวิต อาจจะด้วยเราเล่นของที่เมืองไทยมาเยอะแล้ว แล้วตอนนี้งานที่เมืองไทยก็มีแต่บทที่ดีๆ เข้ามาเหมือนกัน”
ที่มา: manager.co.th