ศรีสะเกษ - คณะสงฆ์ธรรยุตศรีสะเกษ - อุบลราชธานี ลงมติร่วมกันขีดเส้นตาย 12 ก.ค. “เณรคำ” ต้องมารายงานตัว หากไม่มาขับพ้นสังกัดจากทั้ง 2 จังหวัด ขณะสาวศรีสะเกษที่ออกมาเปิดเผยตัวเป็นเมีย เรียกร้อง “เณรคำ” แสดงความกล้าตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอพร้อมกันและรับผิดชอบลูกชายที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ ( 9 ก.ค.) ที่วัดประชารังสฤษฎิ์ อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ พระราชธรรมโกศล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ฝ่ายธรรมยุต และ พระครูวิสุทธิญาณ เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต พร้อมด้วย นายพยม ธารีชาญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นายวิรอด ไชยพรรณนา ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีสะเกษ และคณะกรรมการสอบสวนอธิกรณ์ พระวิรพล ฉัตติโก หรือ หลวงปู่เณรคำ ของทั้ง 2 จังหวัด ได้มีการประชุมร่วมกัน
ทั้งนี้เพื่อหารือ และหาข้อสรุปกรณี ที่ พระวิรพล ฉัตติโก หรือ หลวงปู่เณรคำ ถูกกล่าวหาว่ากระทำการไม่เหมาะสมกับสมณเพศ และเสพเมถุน รวมทั้ง การกล่าวหาว่ามีการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งที่ประชุมได้นำเอาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการกระทำผิดพระธรรมวินัยของพระวิรพล มาแจ้งให้ที่ประชุมทราบ เพื่อพิจารณาร่วมกัน และมีการพิจารณาแต่ละข้อกล่าวหา ตามคำให้การของพยานที่เจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้นำเอามามอบให้กับเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ และเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี
โดยที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า หากมีการปล่อยให้เรื่องนี้เนิ่นนานต่อไปอีก จะกระทบต่อความเชื่อถือ และความศรัทธาต่อพุทธศาสนิกชนชาว จ.ศรีสะเกษ และชาว จ.อุบลราชธานี รวมทั้งพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ และอาจมีคำครหาว่า คณะสงฆ์ทั้งสองจังหวัดไม่ร่วมกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง ซึ่งใช้เวลาประชุมร่วมกันนานกว่า 3 ชั่วโมง
นายวิรอด ไชยพรรณนา ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีสะเกษ เปิดว่า การประชุมครั้งนี้ใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง ที่ประชุมจึงมีมติร่วมกันว่า ให้กำหนดภายในวันที่ 12 ก.ค. นี้ หลวงปู่เณรคำ ต้องมารายงานตัวต่อเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ และเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี หากไม่มารายงานตัวภายในกำหนด ถือว่า หลวงปู่เณรคำ พ้นจากสังกัดของวัดทั้ง จ.ศรีสะเกษ และ จ.อุบลราชธานี ซึ่งจะมีความผิดตามพระธรรมวินัย หากไม่มีวัดสังกัดจะต้องสละสมณเพศไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งคณะสงฆ์ จ.ศรีสะเกษ และ จ.อุบลราชธานี ที่เป็นคณะกรรมการสอบอธิกรณ์ก็จะยังคงดำเนินการสอบสวนต่อไป โดยเน้นในเรื่องการเสพเมถุน ตามที่ได้รับรายงานจากดีเอสไอ
ทั้งนี้คณะกรรมการสอบสวนอธิกรณ์จะรอผลการตรวจดีเอ็นเอของผู้ที่อ้างว่าเป็นเมียและลูกของหลวงปู่เณรคำ รวมทั้งการตรวจดีเอ็นเอจากพี่น้องของหลวงปู่เณรคำ หากได้ผลการตรวจออกมาแน่ชัดว่าผลการตรวจดีเอ็นเอออกมาเป็นเช่นไร ก็จะต้องดำเนินการตามผลของการตรวจดีเอ็นเอนั้น
“หากดีเอ็นเอแสดงผลออกมาว่าหลวงปู่เณรคำเป็นพ่อของเด็กชายที่เป็นลูกของหญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นภรรยา จะต้องมีความผิดปาราชิก และต้องถูกสึกจากความเป็นพระทันที” นายวิรอด กล่าว
ทางด้าน น.ส. ญ. ชาว อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ ที่อ้างตัวว่าเป็นมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลวงปู่เณรคำและมีลูกชายด้วยกัน 1 คน กล่าวว่า การที่ดีเอสไอ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะนำตนไปตรวจดีเอ็นเอ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น ตนและลูกมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ตนอยากให้หลวงปู่เณรคำแสดงความกล้ามาตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอพร้อมกันด้วย เพื่อแสดงให้คนทั้งประเทศได้รู้ว่า หลวงปู่เณรคำเป็นสามีและเป็นพ่อของลูกชายของตนจริง
ที่ผ่านมา ตนยอมรับว่าน้อยใจมากที่หลวงปู่เณรคำไม่เคยสนใจใยดี ดูแลเลี้ยงดูตนและลูกไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งที่ผู้หญิงคนอื่นที่ไม่มีลูกด้วยกัน หลวงปู่เณรคำกลับดูแลปรนเปรอ ซื้อบ้าน ซื้อรถ และให้เงินใช้เหลือเฟือ แต่ตนกับลูกชาย ซึ่งเป็นลูกแท้ ๆ ของหลวงปู่เณรคำ กลับมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก ไม่พอกินไม่พอใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกชายของหลวงปู่เณรคำ ซึ่งกำลังโตขึ้นเรื่อย ๆ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียนมากเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
“ จึงอยากให้หลวงปู่เณรคำได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบลูกชายที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้อยู่อย่างยากลำบากแบบนี้” น.ส. ญ.กล่าว
ที่มา: manager.co.th