นายศักดิ์ชาย ปัญจเร ผู้อำนวยการหน่วยธุรกิจ เอชพี เน็ตเวิร์คกิ้ง เอชพีเผยปัจจุบันองค์กรเริ่มเข้าสู่คลาวด์ทำให้หลายองค์กรต้องปรับปรุงด้านไอที เนื่องจากแบบเดิมที่ทำอยู่ไม่สามารถรองรับกับการเข้าใช้งานแอพพลิเคชันที่ใช้แบนด์วิธสูงได้ นำเสนอโซลูชันเน็ตเวิร์คแฟบริค (network fabric) ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าแบบเดิม สำหรับระบบดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่บนสถาปัตยกรรม HP FlexNetwork เพิ่มความคล่องตัวให้แก่ลูกค้าทำให้ดาต้าเซ็นเตอร์ทำงานได้อย่างอัตโนมัติและมีสมรรถนะในการปรับขยายได้สูงสามารถรองรับแอพพลิเคชั่นที่ใช้แบนด์วิธสูงได้อย่างเต็มที่ นายศักดิ์ชาย ปัญจเร ผู้อำนวยการหน่วยธุรกิจ เอชพี เน็ตเวิร์คกิ้ง ปัจจุบันการทำงานในสภาพแวดล้อมแบบคลาวด์ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่การใช้งานไอทีแบบเดิมไม่สามารถรองรับกับการขยายตัวดังกล่าวได้ เนื่องจากการเข้าใช้งานแอพพลิเคชันที่ใช้แบนด์วิธสูง และบริการต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น ความซับซ้อนในการออกแบบระบบเน็ตเวิร์คแฟบริคสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งต้องมีการตั้งค่าระบบสำหรับอุปกรณ์แต่ละตัวแบบแมนวล
ดังนั้นองค์กรต้องมีความพร้อมในการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้เอชพีมองเห็นถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นดังกล่าวจึงได้นำเสนออุปกรณ์สวิตช์ SDN (software-defined network) ที่ช่วยควบคุมให้ระบบเครือข่ายของดาต้าเซ็นเตอร์ทำงานได้อย่างอัตโนมัติและมีสมรรถนะในการปรับขยายได้สูงสามารถรองรับแอพพลิเคชั่นที่ใช้แบนด์วิธสูงได้อย่างเต็มที่
“การขยายตัวดังกล่าวทำให้ระบบเครือข่ายสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ไม่สามารถรองรับความต้องการใหม่ๆ ในการใช้ระบบคลาวด์ เวอร์ชวลไลเซชั่น และบิ๊กดาต้าขององค์กรต่างๆ ได้ ดังนั้นจึงต้องหาวิธีมารองรับ ซึ่งโซลูชั่น HP Networking ใหม่นี้ จะช่วยให้การออกแบบและการทำงานของระบบเครือข่ายเป็นไปได้อย่างง่ายดายด้วยนวัตกรรมเน็ตเวิร์ค SDN Fabric สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่จะช่วยองค์กรสามารถวางฐานด้านระบบเครือข่ายที่ตรงตามความต้องการในปัจจุบัน และที่จะมีขึ้นในอนาคต”
ซอฟต์แวร์ที่เอชพีนำเสนอนี้สามารถลดข้อจำกัดของการปรับขยายขนาด ลดความซับซ้อนและต้องมีตั้งค่าระบบแบบแมนวลเพื่อรองรับระบบสำหรับแอพพลิเคชั่นแบบคลาวด์และเวอร์ช่วลไลเซชั่นเมื่อประกอบเข้ากับโซลูชั่นใหม่ดังกล่าวที่รวมอุปกรณ์สวิตช์ HP FlexFabric 12900 รุ่นใหม่ ที่สามารถปรับขยายให้ตรงกับความต้องการของปริมาณงานแบบเวอร์ช่วลที่เพิ่มขึ้น เพิ่มสมรรถนะการทำงานของระบบไอที โดยผนวกรวมแฟบริคทั้งแบบเวอร์ช่วลและแบบปกติร่วมกับซอฟท์แวร์ HP FlexFabric Virtual Switch 5900v ใหม่
ทั้งนี้โซลูชันดังกล่าวเมื่อทำงานร่วมกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ สวิตช์อีกหลายรุ่นที่เอชพีนำเสนอแล้วจะทำให้ระบบเครือข่ายมีฟังก์ชั่นการทำงานที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ช่วยแยกการบริหารเซิร์ฟเวอร์และระบบเครือข่ายออกจากกัน เพื่อทำให้การทำงานมีความสะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น และไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยให้ลูกค้าลดพื้นที่ของดาต้าเซ็นเตอร์ด้วย ทั้งหมดจะช่วยทำให้การให้บริการด้านต่างๆ สามารถทำได้บนระบบอุปกรณ์เสมือน (Virtual Machine) จึงช่วยลดการใช้ฮาร์ดแวร์ที่ไม่จำเป็น ที่สำคัญยังสามารถเพิ่มสมรรถนะของแอพพลิเคชั่นแบบเวอร์ช่วลสูงสุดถึงร้อยละ 50
Company Related Link :
HP
ที่มา: manager.co.th