ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บ “นก สินจัย” บอกผ่านแล้วผ่านไปกรณี “เหนือเมฆ 2” ถูกแบน บอกสั้นๆ ก็คงตามนั้นหลังช่อง 3 เผยทำลายเทปละครตอนที่เหลือหมดแล้ว เผยหนังเหนือเมฆ 3 อยู่ในช่วงหาทุน ลั่นยืนยันไม่เปลี่ยนเจตนารมณ์การทำงาน ปิดปากเงียบมานาน นับตั้งแต่ละคร “เหนือเมฆ 2” ถูกช่อง 3 สั่งแบนไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ก่อนจะกลายเป็นประเด็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ในเวลาต่อมา หลังหลายคนเชื่อกันว่า การสั่งปลดละครเรื่องนี้กลางอากาศ ก็เพราะมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ล่าสุด ทางฟากของ “นก สินจัย เปล่งพานิช” ซึ่งอยู่ในฐานะทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังละครดังเรื่องดังกล่าวก็ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้แล้ว
“ก็ถือว่ามันผ่านไปแล้ว ก็คงเป็นประสบการณ์สำคัญในชีวิตในการทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง มันจบไปแล้วเราก็เริ่มต้นทำงานกันใหม่ ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม นกก็ยังได้ทำงานละครดีๆ เราไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิมที่จะทำละครดีๆ มีสาระและบันเทิงเหมือนเดิม”
เมื่อถูกถามว่าจะเข็ดกับเรื่องที่เกิดขึ้นมั้ย เจ้าตัวบอกไม่เกี่ยวเพราะตนไม่ได้ทำละครเกี่ยวกับการเมืองเพียงแนวเดียว ก่อนยอมรับกดดันอยู่เหมือนกันกับการถูกจับจ้อง แต่ก็พร้อมที่จะทำต่อไปในสิ่งที่คิดว่าเหมาะสม
“อาจจะมีบ้างนิดหน่อย ว่าอะไรสำหรับเราที่ทำได้ ทำไม่ได้ ทำแล้วจะเป็นอะไรอีกรึเปล่า แต่เราก็จะทำ เราก็ขอทำก่อน เราก็ทำไปตามที่เราคิดว่าเหมาะสม เพราะเราก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำอะไรที่มันไม่ดีอยู่แล้ว เราทำงานละครเราก็อยากจะทำอะไรที่มันมีคุณภาพ ดูสนุก มีสาระด้วย”
บอกสั้นๆ ก็คงตามนั้นหลังช่อง 3 ออกมาเผยว่าได้ทำลายเทปละครไปหมดแล้ว จึงไม่สามารถส่งเทปดังกล่าวไปให้ทางคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ที่ได้ทำหนังสือขอมาเพื่อตรวจสอบว่าเนื้อหาดังกล่าวผิดมาตรา 37 ของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ตามที่ผู้บริหารช่อง 3 ชี้แจงว่าเป็นเหตุผลสั่งแบนละครเรื่องดังกล่าวต่อกมธ.ในก่อนหน้านี้ได้
“ก็คงตามนั้น นกเองไม่ทราบเหมือนกัน เพราะตอนเราทำเสร็จ เราก็ส่งงานทุกอย่างให้ช่องไปหมด เราไม่มีอะไรอยู่กับตัวเลย...”
ส่วนที่มีกระแสข่าวลือออกมาว่าทั้งตนเองและสามี “นก ฉัตรชัย” กำลังถูกหมายหัว และอาจจะไม่ได้ทำงานละครอีกในอนาคต เพราะทั้งสองแสดงออกอย่างค่อนข้างจะชัดเจนในแนวทางการเมือง เรื่องนี้เจ้าตัวบอกไม่มี
“ไม่มีเลยค่ะ ถ้าเป็นเรื่องเหนือเมฆก็คงเป็นเรื่องเหนือเมฆ เราก็ยังมีโอกาสทำละครทุกอย่างเสนอไปผ่านหมดแล้วเรียบร้อยไม่มีปัญหา ตอนนี้งานผู้จัดพี่นกชายเป็นผู้จัดแล้วก็กำกับคุณชายรณพีร์เองอยู่ด้วย จบคุณชายรณพีร์ก็จะมีเรื่องต่อไปอีก 2 เรื่อง ก็ผ่านเรียบร้อย แต่ยังไม่ได้เปิดกล้อง มีแนวบู๊ๆ เหมือนเดิม บริษัทเราทำแนวนี้เป็นหลักอยู่แล้ว”
เนื้อหาจะมีเอี่ยวๆ เรื่องการเมืองอีกมั้ย?
“จะว่าเอี่ยวก็คงไม่ได้ ละครก็คือละคร เหนือเมฆก็ทำมา 2 ภาคแล้วถ้าจะพาดพิงจริงก็คงพาดพิงมาตั้งแต่ภาค 1 ซึ่งมันก็ผ่านมาแล้ว พอเกิดเรื่องขึ้นก็เลยเหมือนทุกอย่างจับจ้องไปหมด มันก็อาจจะลำบากใจสำหรับคนทำงาน แต่เราเองไม่มีอะไรเลย ช่องก็ไม่มีอะไรเขาก็ให้เราทำงานต่อไปเหมือนเดิม”
พร้อมเผยโปรเจกต์ภาพยนตร์ “เหนือเมฆ 3” ที่ดึงผู้กำกับคนเดิม “อุ๋ย นนทรีย์” มากำกับให้ว่าอยู่ในช่วงกำลังหาทุน... “กำลังอยู่ในช่วงหานายทุนอยู่ค่ะ กับสหฯ นี่ยังไม่แน่ใจเพราะยังไม่ได้รับการตอบรับ พี่นกชายก็กำลังวุ่นๆ อยู่เพราะกำลังเร่งปิดคุณชายรณพีร์อยู่ ก็คงต้องให้เสร็จละครก่อนแล้วคงเข้าไปคุย แต่พี่อุ๋ย ยื่นเรื่องไปทางสหฯ เรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ได้อัพเดทอะไรกันมาก เพราะยังไม่ว่างเข้าไปคุยกับเสี่ยเจียง”
“ตัวละครก็เป็นตัวละครสืบเนื่องมาอยู่แล้ว แต่เรื่องก็จะเปลี่ยนไปเป็นอีกแนวนึง ที่วางไว้จะพูดถึงกรุงเทพฯในอนาคตข้างหน้าว่าจะเป็นยังไง (จะมีส่วนที่เหลือของภาค 2 ที่ไม่ได้ฉาย?) (หัวเราะ) อันนี้ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงเลย เราเองก็ยังไม่ได้เขียนบทกัน ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นอย่างไหน (จะแตะการเมืองอีก?)...มันคงยังบอกไม่ได้ ด้วยเรื่องราวคาแรกเตอร์ของตัวละครมันก็เป็นคาแรกเตอร์ที่สืบเนื่องมาอยู่แล้วตั้งแต่ภาคแรกๆ”
“อย่างนกก็เป็นตำรวจ ก็คงต้องดูบทก่อนว่าจะออกมาเป็นแบบไหนถึงจะบอกได้ ตัวละครจะเป็นใครบ้างก็ยังไม่ทราบ แต่ตัวหลักๆ ก็คงจะเป็นพี่อ๊อฟ นก หมาก นี่คือที่วางไว้ แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อเป็นบทแล้วมันอาจจะมีเพิ่มขึ้น หรือสุดท้ายอาจจะไม่มีก็ได้”
และเมื่อถูกถามว่ากับงานใหม่ๆ ที่จะออกมาจะต้องระมัดระวังในการเขียนบทมากขึ้นหรือไม่? ทางฟากของนักแสดงคุณภาพบอกหากต้องระวังอะไรไปซะทั้งหมด แล้วทำให้เนื้อหาเรื่องราวไม่สนุก ตนก็คิดว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจแต่อย่างใด
“ไม่รู้เหมือนกันนะ เราก็คงทำให้ดีที่สุด ถ้าเราระวังอะไรมากแล้วเรื่องไม่สนุก คนดูไม่สนุก นกว่ามันก็ไม่น่าสนใจ ทุกอย่างที่ทำมามันมีเหตุผลรองรับซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ก็คงต้องดูอีกทีว่ามันจะเป็นแบบไหน ยังไงก็คงอยู่ในพื้นฐานการทำงานของเราเหมือนเดิม เราคงไม่เปลี่ยนเจตนาการทำงานของเรา เราไม่ได้มีเจตนาไม่ดีที่จะไปทำร้ายใคร”
“เรายังยืนยันว่าเราจะทำงานของเราแบบนี้ ทำงานที่จริงใจให้กับคนดู เราต้องการทำสื่อที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่จะไปว่าหรือพูดกระทบใครอย่างเดียว เราต้องทำให้สนุก เพราะคนดูเสียเงินมาดู เขากลับไปจะได้พูดกันได้ว่าหนังเราสนุกนะ ไม่ใช่จะมานั่งจับผิดว่าเราจะพูดถึงใครอีกวะ นกว่าอย่างนั้นมันไม่สร้างสรรค์ เราคุยกันข้างหลังก็ได้ไม่ต้องไปทำออกสื่อขนาดนั้น”
ที่มา: manager.co.th
