Author Topic: 'เจนนิเฟอร์ คิ้ม' แฉ! เรื่องจริงบนเวทีแข่งร้องเพลง  (Read 710 times)

0 Members and 2 Guests are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai








หลายปีมานี้ในประเทศไทยมีรายการประกวดร้องเพลงเกิดขึ้นแทบนับไม่ถ้วน ไม่จบเท่านั้นยังมีภาคต่อ ซีซั่น 1 2 3 ฯลฯ ให้แฟนเพลงกรี๊ดโหวตศิลปินหน้าใหม่ในดวงใจ ทุกเวทีเป็นเหมือนการสร้างโอกาสสำหรับผู้มีฝันในเส้นทางสายดนตรี เจนนิเฟอร์ คิ้ม นักร้องหญิงเสียงคุณภาพผู้ล้มลุกคลุกคลานในวงการเพลงมากว่า 25 ปี กว่าจะถึงฝั่งฝันเธอผ่านอุปสรรคมามากมาย ถือเป็นโอกาสดีเพราะครั้งนี้เธอจะร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในวงการเพลง แชร์เรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นบนเวทีแห่งดาว เวทีประกวดร้องเพลงที่มีให้เห็นเกลื่อนเมือง
       
       ล่าสุดกับตำแหน่ง โค้ชประจำรายการ The Voice Thailand เรียลลิตี้เฟ้นหาที่สุดของ 'เสียง' ที่ไม่เกี่ยงเพศสภาพหรือรูปปร่างหน้าตา ถือเป็นที่สุดของรายการประกวดร้องเพลงที่ส่งตรงจากประเทศฮอลแลนด์ ที่ฉีกปรากฏการณ์รายการประกวดฯ รูปแบบเดิมๆ โด่งดังเป็นพลุแตกจน 40 ประเทศทั่วโลกต้องซื้อลิขสิทธิ์เข้ามา รวมทั้งประเทศไทยก็เช่นกัน
       
       The Voice Thailand ออกอากาศในช่วงเย็นวันอาทิตย์ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สำหรับโค้ชนอกจากนักร้องมากประสบการณ์ เจนนิเฟอร์ คิ้ม ยังมีโค้ชกิตติมาศักดิ์อีก 3 ท่าน ได้แก่ ก้อง สหรัถ, โจอี้ บอย และสแตมป์ อภิวัชร์ ร่วมเป็นกรรมการเฟ้นหาสุดยอดแห่งเสียงพร้อมรางวัลสำหรับผู้ได้รับชัยชนะในการประกวด
       
       ทัศนคติใหม่วงการประกวดร้องเพลง

       ร่ำลือกันว่า The Voice เป็นรายการประกวดร้องเพลงที่เปิดมุมมองใหม่ให้กับผู้ชมผู้ฟังในบ้านเรา เจนนิเฟอร์ คิ้ม หนึ่งในสี่ของโค้ชประจำรายการ อธิบายให้ฟังว่า
       
       “The Voice เป็นรายการที่ต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศฮอลแลนด์ คนคิดเขาได้อุดรอยรั่วต่างๆ ที่เกิดจากกติกาการแข่งขันเพลงในเมืองนอกทั้งหมด แล้วมันจะทำให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ประกวดมากขึ้น โดยเฉพาะผู้เข้าประกวดที่ลักษณะทางกายภาพไม่เอื้ออำนวย(หัวเราร่า) จะบอกไม่สวยไม่หล่อ แต่มันเป้นลักษณะหนึ่งทางกายภาพ”
       
       หากมีโอกาสได้รับชมรับฟังน้ำเสีงของผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านเข้ารอบในการนี้จะรู้สึกเลยว่าเกือบทั้งหมดนั้นเป็นเจ้าของน้ำเสียงที่มีลักษณะเฉพาะตัว จนทำให้โค้ชผู้ถูกวางในตำแหน่งหันหลังได้ยินแต่น้ำเสียงต่างบรรจงกดปุ่มกลไกหันเก้าอี้ตัวใหญ่กลับมาเพื่อดูผู้เข้าแข็งขันน้ำเสียงพิเศษคนนั้นๆ ก็ไม่รู้ว่าในฐานะโค้ชนั้นรู้สึกอย่างไรกับผู้เข้าแข่งขันบ้าง
       
       "รู้สึกดี รู้สึกว่าคนเหล่านี้เขามาปลุกจิตวิญญาณให้เราตื่น บางครั้งก็รู้สึกท้อแท้กับค่านิยมบางอย่าง จริงๆ แล้วคนที่ไม่ได้เข้ามายื่นอยู่กลางแสงไฟนั้นมีความสามารถเยอะมาก เวทีนี้เป็นเหมือนพื้นที่ให้เขาออกมาแสดงตัว มันเหมือนกับเป็นการช่วยปลุกจิตวิญญาณในใจเราว่า ความสามารถมาก่อนรูปร่างหน้าตาจริงๆ มันกลับมาอีกครั้งนึง
       
       “ด้วยความเก่งที่เขามี ความเชี่ยวชาญหรือด้วยน้ำเสียง ความสามารถมันไม่เลือกที่จะอยู่นะ พรสวรรค์มันก็ไม่เลือกที่จะอยู่ มันทำให้รู้สึกว่าพรสวรรค์มันอยู่ในที่ๆ ควรจะอยู่จริงๆ มันเลือกจะอยู่ในที่ที่เป็นธรรมชาติของมันเองโดยที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรทั้งสิ้น”
       
       มนุษย์ไม่ได้เป็นคนกำหนดพรสวรรค์

       อย่างนี้หมายความว่าทุกคนที่ผ่านเข้ารอบการประกวดร้องเพลงในรายการ The Voice เป็นผู้มีพรสวรรค์หรือเปล่า เจนนิเฟอร์ คิ้ม อธิบายเพิ่มเติมว่าทุกคนที่ผ่านเข้ารอบเรียกว่ามีความสามารถ ส่วนจะสามารถเรียกพรสวรรค์ได้หรือไม่มันมีกลไกในขั้นถัดไปไว้พิสูจน์
       
       “ถ้าเป็นพรสวรรค์มันจะถูกพัฒนาไปอย่างเร็วมาก คนมีพรสวรรค์เรียกว่าโยนอะไรไปใส่มันเหมือนดินที่อุดมสมบูรณ์ โยนอะไรลงไปใส่มันจะทำให้พืชผลนั้นโตเร็วมาก”
       
       เจนนิเฟอร์ คิ้ม เล่าว่า การคัดเลือกโดยรับฟังเพียงน้ำเสียงแต่ไม่เห็นหน้าผู้เข้าแข่งขันของรายการนี้ในประเทศไทย เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับเปลี่ยนความเชื่อบางอย่างของคนหมู่มากในสังคมไทย
       
       “มันเป็นการเปลี่ยนมาตรฐานค่านิยมที่เรามีอยู่ และก็เป็นการลดอคติ คือการลดอคติอย่างเช่น ชอบคนนี้ ไม่ชอบคนนี้ อคติคือความลำเอียงอย่างหนึ่ง ลำเอียงที่ชอบคนนี้ที่จะไม่ชอบคนนี้จากการที่เห็นหน้าก่อน เพราะมันจะมีคำว่าถูกชะตา เราไม่เคยถูกชะตาจากเสียงสักที มีแต่ถูกชะตาจากหน้าเรายังไม่รู้นิสัยคนนั้นเลยว่าดีหรือไม่ดี เราจะไม่ใช้คำว่าถูกชะตามาตัดสินแต่เราจะใช้คำว่าสัญชาติของการเป็นนักร้องเท่านั้นที่จะตัดสินกันและกันได้”
       
       แน่นอนงานนี้โค้ชทั้ง 4 ท่าน ล้วนใช้สัญชาตญาณของตัวเองในการคัดเลือก ถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องปฏิเสธผู้เข้าแข่งขันจำนวนมาก เธอตอบขึ้น
       
       “รู้สึกเศร้าใจที่ทำให้ความหวังเขาหยุดลงไป ณ ขณะหนึ่ง คือไม่ได้หายไปเลยนะคะ ความหวังถูกแช่แข็งไปประเดี๋ยวหนึ่ง เขาจะต้องกลับไปพัฒนาตัวเองสร้างความหวังนั้นต่อไป”
       
       เสียงสวย เสียงหล่อ ดังได้แค่ชั่วคราว?

       ด้านการตอบรับจากผู้ชมนั้น รายการ The Voice Thailand ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งเลย อย่างในโลกออนไลน์ก็มีการพูดถึงอย่างมากมาย ไม่ว่าจะชมโค้ชที่ล้วนเป็นนักร้องคุณภาพทั้งสิ้น หรือผู้เข้าประกวดที่มีลีลาน้ำเสียงโดดเด่นน่าอัศจรรย์ใจ
       
       “รูปแบบเนื้อหารายละเอียดของมันไม่ใช่แค่ความตื่นเต้น ไม่ใช่แค่ความเห่อ ไม่ใช่แค่ของใหม่แต่มันเป็นของที่จะคงอยู่ต่อไป และมันจะเป็นสิ่งที่สร้างมาตรฐานใหม่ ปรับค่านิยมใหม่ให้คนไทย ถ้าเราสามารถเปิดใจได้มากกว่านี้ มันจะมีพื้นที่สำหรับคนที่มีพรสวรรค์มีความสามารถมากกว่าหน้าตาที่มีอยู่”
       
       ความแตกต่างที่เน้นเสียงร้องแถมปิดบังรูปร่างหน้าตา เป็นรายการประกวดร้องเพลงรูปแบบใหม่ที่ต่างกันอย่างลิบลับกับเวทีใหญ่ๆ ในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น Af (academy fantasia), the star, Kpn ฯลฯ โดยเฉพาะส่วนของผู้ชมก็คงรู้สึกถึงความต่างและมีการนำไปเปรียบเทียบกระทบกระทั่งกันบ้าง เจนนิเฟอร์ คิ้ม ค่อยๆ กล่าวขึ้น
       
       “แต่ละรายการมีข้อดีของเขา มันมีข้อดีหลายๆ อย่างที่อยู่ในรายการ คนเราจะเห็นสิ่งที่ดีได้ว่ามันดีตรงไหนเราต้องเปิดใจ แต่สิ่งนึงที่ทุกรายการมีร่วมกันร่วมถึง The Voice ด้วยคือการที่ทุกรายการทำมาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน ก็เพื่อให้คนดูคนฟังมีความสุข ดังนั้นการจะห้ามไม่ให้คนดูคนฟังมาเปรียบเทียบกันมันทำไม่ได้”
       
       ในมุมมองของเธอยังเห็นว่าแต่ละรายการประกวดมีรูปแบบของตัวเองที่ชัดเจน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่วงการจะได้รับก็คือคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาทำงานในแวดวงบันเทิง
       
       “แต่ละรายการล้วนแล้วแต่สร้างบุคลากรที่ทำให้คนดูคนฟังมีความสุข เช่น เขาสร้างคนหน้าตาดีขึ้นมา สร้างคนที่นิสัยดีขึ้นมา ส่วน The Voice เราสร้างคนที่มีเสียงดีขึ้นมา มันคนละมุมมองกัน”
       
       เจนนิเฟอร์ คิ้ม เล่าว่า เวทีการประกวดร้องเพลงต่างๆ ในเมืองนอกนั้นจะเปิดให้โหวตผู้เข้าแข่งขันที่ผู้ชมทางบ้านชื่นชอมฟรีซึ่งต่างจากประเทศไทย
       
       “อยากให้เมืองไทยเปลี่ยนมาเป็นแบบโทรฟรี เพราะเมืองนอกสปอนเซอร์เขาทุ่มแบบล้นแล้ว เขาจึงต้องการสิ่งที่เป็นความจริงๆ ชอบจริงๆ โหวตฟรี เราอยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงในประเทศเรา”
       
       วัฏจักรวงการเพลง มีเกิดย่อมมีดับ

       ถือเป็นโชคดีของคนในยุคสมัยนี้ที่มีเวทีประกวดฯ หลายๆ รายการเกิดขึ้นมารองรับ เจนนิเฟอร์ คิ้ม เห็นว่าในส่วนนี้เป็นเรื่องที่ดีเลยเพราะถือเป็นพื้นที่ของโอกาสที่ใครก็สามารถคว้าเอาไว้ได้
       
       “ดีตรงที่ว่าอย่างน้อยที่สุดก็ได้เปิดโอกาสให้ทุกคนไม่ว่าจะขายเสียง ขายหน้า ขายนิสัย ขายภาพลักษณ์อย่างน้อยก็เปิดโอกาสให้คนได้แสดงออก และเชิดชูอาชีพเต้นกินรำกินที่ดูแคลนไว้ว่าไม่น่าจะเลี้ยงดูตัวเองได้เลย แต่ทุกวันนี้มันพิสูจน์ให้เห็นแล้ว หลายๆ รายการก็ทำให้ทุกคนได้ประกอบอาชีพและได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ด้วยวัฎจักรของมัน เก่าไปใหม่มาตลอด ซึ่งในขณะนี้เลือดเก่าต้องเป็นตัวจริงๆ ถึงจะอยู่ตรงนี้ได้”
       
       ถามว่าทำไมเวทีประกวดส่วนมากจะเป็นเวทีร้องเพลงเสียส่วนใหญ่ เธอให้ความเห็นว่าเพราะเสียงเพลงสามารถเข้าถึงคนได้มากที่สุด
       
       “การสื่อด้วยเพลงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายมาก สื่อด้วยหน้ายังไม่รู้เลยว่าตกลงนี่มีอะไรดีหรอ ร้องเพลงเป็นสิ่งที่ทำให้คนเข้าใจง่ายกว่าการแสดงอีกด้วยซ้ำไป อันนี้ไมได้เอาไปเปรียบเทีบว่านักร้องดีกว่านักแสดงหรือเปล่า..ไม่ใช่จุดนั้น”
       
       จะสังเกตเห็นว่า ที่ไหนรับสมัครประกวดร้องเพลง ผู้คนก็จะแห่แหนเข้าไปสมัครเป็นภาพที่เห็นจนคุ้นชิน เธอกล่าวขึ้น
       
       “มันเป็นอาชีพที่น่าทำที่สุดในโลกอาชีพนึงนะคะ เพราะว่าอาชีพอื่นๆ คุณจะได้ผลตอบแทนที่คุณทำงานออกมา แต่คุณอาจไม่ได้รับการเชิดหน้าชูตา การเป็นดารานักร้องจะถูกเชิดชูตั้งแต่เพลงแรกแตะคำวว่าดัง แตะคำว่าฮิต หรือเข้าได้ออกอากาศออกทีวีปั๊บได้รับการชื่นชม และมันเป็นอาชีพที่แบบได้เงินด้วย ได้แต่งตัวสวยๆ ด้วย ไปไหนมีแต่คนห้อมล้อม คอยติดตามผลงงาน แวดล้อมไปด้วยคำชม ส่วนคำด่าอีกส่วนนึง ยังมีหลายอย่างตามมา สมมุติเป็นนักร้องมีคนจีบไปเล่นหนัง พรีเซ็นเตอร์ ดีเจ นายแบบ นางแบบ เห็นมั้ยคะว่ามันกระจายและแตกออกไปในผลประโยชน์ที่ขยายเครือข่ายมาก”
       
       ด้วยการแข่งขันร้องเพลงเป็นอะไรที่ง่าย และผลลัพธ์ก็เป็นที่น่าพึงพอใจเพราะแต่ละรายการก็จะผลิตคนคุณภาพขึ้นมารับใช้งานบันเทิง แต่ท้ายที่สุดหากไม่ใช่ตัวจริงก็จะพรากวัฏจักรนี้ไปเอง
       
       “สมมุติการร้องเพลงคือการต้ม ง่ายที่สุดเลยใส่ทุกอย่างเข้าไปต้ม ผัก ปลา เราจะเห็นว่ามันหดตัวแค่ไหน หรือพองตัวแค่ไหน มันเป็นวิธีที่ง่าย มันจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้มันเป็นเครื่องมือที่จะทำให้รายการนั้นสำเร็จเสร็จสิ้น หรือสมบูรณ์แบบได้ เมื่อเขาผ่านการร้องเพลงถึงจะร้องได้ในระดับหนึ่งแต่ว่าคนๆ นี้ออกไปเติบโตเป็นนักแสดงที่ดีคนหนึ่ง เขาก็ได้พระเอกนางเอกใหม่หรือตัวแสดงดีๆ ประดับวงการ เหมือนถ่ายเลือดใหม่เข้ามาบ้าง เป็นวัฏจักรว่าถ้าทุกสิ่งหยุดนิ่งนั่นแปลว่าตาย แต่ถ้าเก่าไปใหม่มาเข้ามาออกไป เกิดแล้วดับมันจะวนเป็นวัฏจักรของชีวิตเลย”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)