เฟซบุ๊ก (Facebook) เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดังของโลก เริ่มกรุยทางสำหรับการป้องกันตัวเองจากการโดนฟ้องกรณีละเมิดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยการยื่นขอซื้อสิทธิบัตรจากไมโครซอฟท์เป็นจำนวนถึง 650 รายการ คิดเป็นมูลค่าถึง 550 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัญหาเรื่องสิทธิบัตรยังคงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นและพบเห็นบ่อยครั้งในอุตสาหกรรมไอที ก่อนหน้านี้หากยังจำกันได้ ยาฮู (Yahoo) เว็บเสิร์ชเอนจินชื่อดังได้เปิดศึกกับเฟซบุ๊กในเรื่องเทคโนโลยีการจัดการโฆษณาบนเว็บไซต์ และสิทธิบัตรอื่นๆ อีกกว่า 10 รายการ โดยอ้างว่าเฟซบุ๊กได้ละเมิดสิทธิบัตรส่วนนี้ไป
ในช่วงแรกมีการคาดการณ์ว่า เฟซบุ๊กอาจจะยอมจ่ายเงินเพื่อจบคดีความไป และเข้าสู่ตลาดหุ้นอย่างสง่าผ่าเผยต่อไป แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ล่าสุดจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เมื่อทางเฟซบุ๊กได้ติดต่อกับไมโครซอฟท์ (Microsoft) เพื่อขอซื้อสิทธิบัตรจำนวนถึง 650 รายการ โดยความพิเศษของสิทธิบัตรที่เฟซบุ๊กได้ซื้อจากไมโครซอฟท์อยู่ที่เฟซบุ๊กจะมีสิทธิในการใช้งานสิทธิบัตรรายการเดียวกันกับของเอโอแอล (AOL) ได้โดยไม่ถือเป็นการละเมิดแต่อย่างใด สาเหตุนั้นเป็นเพราะว่า เมื่อไม่นานมานี้ทางไมโครซอฟท์ก็เพิ่งซื้อสิทธิบัตรดังกล่าวจำนวนไม่ต่ำ 900 รายการมาจากเอโอแอลก่อนแล้วนั่นเอง เลยทำให้เฟซบุ๊กได้อานิสงส์จากสิทธิบัตรนี้ไปด้วย
โดยมูลค่าในการซื้อสิทธิบัตรครั้งนี้ของเฟซบุ๊กจากไมโครซอฟท์มีมูลค่าถึง 550 ล้านเหรียญสหรัฐ และเชื่อได้ว่าเฟซบุ๊กยังคงต้องการสิทธิบัตรฉบับอื่นๆ เพิ่มเติมอีกอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ เฟซบุ๊กมีสิทธิบัตรอยู่ในมือเป็นจำนวน 1,460 รายการ แบ่งเป็น สิทธิบัตรจำนวน 750 รายการที่ซื้อมาจากไอบีเอ็ม (IBM) สิทธิบัตร 650 รายการจากไมโครซอฟท์ และเอโอแอลที่เพิ่งได้ซื้อไปหมาดๆ และจำนวนที่เหลือ 60 รายการเป็นสิทธิบัตรที่เป็นของเฟซบุ๊กเอง
สำหรับการฟ้องร้องระหว่างเฟซบุ๊ก กับยาฮูเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เฟซบุ๊กได้มีแผนจะเสนอขายหุ้นครั้งแรก หรือ IPO ทำให้เฟซบุ๊กกำลังจะแปรสภาพกลายเป็นบริษัทมหาชน จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของยาฮูในการทวงสิทธิในสิทธิบัตรต่างๆ ต่อหน้าสาธารณชน และเพื่อเป็นการบีบให้เฟซบุ๊กต้องยอมเจรจากับยาฮูและจ่ายเงินค่าสิทธิบัตรในกาลเวลาต่อมา แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหลังเฟซบุ๊กได้วางแผนในการซื้อสิทธิบัตรจากบริษัทอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้นี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เฟซบุ๊กอาจจะไม่อยากเสียเงินให้ยาฮูก็เป็นได้
Company Related Link :
Facebook
ที่มา: manager.co.th
