Author Topic: “ฟิล์ม” รับสนิท “แพนเค้ก” ขอค่อยเป็นค่อยไป ลั่นยังไม่รวยในระดับที่จะมีแฟนได้  (Read 722 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai




“ฟิล์ม” เผยชีวิตฟ้าหลังฝนขออุทิศตัวเองให้งานทั้งหมด ร่วมหุ้น “พจน์ อานนท์” เปิดบริษัททำหนัง ลั่นไม่กังวลจะกลับมาดังเท่าเดิมหรือเปล่า ขอทำวันนี้ให้ดีที่สุดเป็นพอ ส่วนคดีกับ “แอนนี่” เรื่องตรวจDNAไม่ขอพูดถึงเพราะจบแล้ว แต่ยินดีเป็นพยานให้พจน์สู้คดีกับแอนนี่ เจ้าตัวรับสนิท “แพนเค้ก” ชมน่ารัก แต่อยากค่อยเป็นค่อยไป ก่อนบอกตนยังไม่รวยในระดับที่จะมีแฟนได้
       
       ถือเป็นปีฟ้าหลังฝนของนักร้องหนุ่ม “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” เลยก็ว่าได้เพราะหลังจากเป็นคดีความถูกกล่าวหาเป็นพ่อของน้อง “ฑีฆายุ” ลูกของสาว “แอนนี่ บรู๊ค” มา 2 ปี ตอนนี้ทุกอย่างจบลงด้วยดี เพราะสาวแอนนี่ยอมถอนฟ้องไปแล้ว ช่วงนี้หนุ่มฟิล์มก็เลยสบายใจกลับมาลุยงานได้เต็มที่ ประเดิมด้วยการหุ้นกับ “พจน์ อานนท์” เปิดค่ายหนัง “อารมณ์ดีมีสุข” ส่วนคดีกับสาวแอนนี่ที่มีข่าวว่ามีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น หนุ่มฟิล์มยืนยันไม่จริง
       
       “ตอนนี้เรื่องคดีของฟิล์มมันจบทุกอย่างไปแล้วครับ ไม่ต้องขึ้นศาลอีก มันจบแล้วครับ หลายคนมองว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลัง ไม่มีหรอกครับ 2 ปีก็ไม่ได้เร็วอะไรเลย ผมขึ้นศาลไปตั้ง 5-6 รอบ ใช้เวลา 2 ปี ที่ผมรอคอยมันนานมาก (หลายคนมองว่ามีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง?) ไม่มีครับๆ เป็นเรื่องของความถูกต้อง ซึ่งผมก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าพูดคุยกันยังไง ตอนนี้เรียบร้อยแล้วครับ”
       
       “กับดีเอ็นเอผมไม่ขอตอบเรื่องนี้นะครับ ถ้าใครตามข่าวก็คงจะรู้ดีว่าอะไรคืออะไร ผมไม่อยากพูดเรื่องเก่า มันดำเนินการมาตั้งแต่แรกและจบไปแล้วว่ามันมีการตรวจหรือไม่ตรวจ ต่อไปนี้ไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวอะไรกันแล้ว ส่วนที่พี่พจน์จะให้ไปเป็นพยานในส่วนของเขา ตอนนี้เขายังไม่ได้บอกอะไรผมเลยครับ ถ้าจะต้องไปเป็นพยานผมก็ยินดีเลยครับ ทุกอย่างก็คงต้องเป็นความจริงทั้งหมด หากทางศาลเรียกไป ผมก็ยินดีพูดความจริง ก็อยากจบแบบเคลียร์ๆ กันได้ทุกฝ่ายและเป็นเรื่องที่เป็นความจริง เพราะคนในสังคมเขาก็รอคอยกันอยู่”
       
       เผยร่วมกับ “พจน์ อานนท์” เปิดค่ายหนัง “อารมณ์ดีมีสุข” ประเดิมเรื่องแรก “รักเอาอยู่” ส่วนเพลงที่จะโกอินเตอร์ยังรู้ความคืบหน้าเพราะอาร์เอสยังไม่แจ้งมา แต่สำหรับในไทยได้ฟังแน่เมษายนนี้
       
       “ก็ก่อตั้งโดยผมกับพี่พจน์ช่วยกันครับ แล้วก็มีพี่ผู้กำกับอีก 3 คนมาช่วย เป็นทีมเวิร์คที่ดีมาก เรื่องแรกผมก็เป็นผู้ช่วยผู้กำกับดูแลงานเบื้องหลัง เรียกว่าทำทุกอย่างแล้วมันเป็นสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว เราก็ทำหนังกันแล้วก็ไปขายกับค่ายเอ็มพิคเจอร์ ผมเองก็หวังมาก คิดไกลไปถึงโปรเจกต์ต่อไปแล้ว แต่พี่พจน์แกก็คอยเตือนอย่าไปหวังเพราะถ้าผิดหวังแล้วมันจะเจ็บตัว”
       
       “ส่วนงานโกอินเตอร์ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางอาร์เอสเขาจะวางแผนยังไง เพราะผมก็มัวแต่มาวุ่นวายกับหนัง เพราะเพลงผมอัดไว้เสร็จแล้ว ตั้งแต่มกราคม ตอนนี้กำลังรอคิวถ่ายเอ็มวี ตอนนี้ก็กำลังรอเรียนเต้นเพื่อให้เหมาะกับงานในชุดนี้ แต่ผมก็บอกเขาไปว่าอยากได้งานที่โตขึ้นเพราะเราก็โตแล้ว จะให้ไปเจาะกลุ่มเด็กๆอยู่มันก็ไม่ใช่ ก็อยากให้เพลงผมเป็นเพลงที่ผู้ใหญ่ฟังบ้าง ชุดนี้ก็โตขึ้น เพลงฟังง่ายขึ้น มีจังหวะโยกๆ ได้คงความเป็นฟิล์มเหมือนเดิม น่าจะได้ฟังกันในช่วงเมษายนนี้ แล้วก็กำลังจะมีละครกับทางช่อง 8”
       
       แย้มที่ผ่านมามีคนเตือนชีวิตรุ่งแล้วจะต้องมีเหตุสะดุดเสมอ บอกเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตนเป็นผู้ใหญ่เลือกทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทนคนที่รักมากกว่าคิดหวังดังได้เท่าเดิม
       
       “ตอนนี้มอบชีวิตให้กับงานหมดเลย ถือว่าเป็นปีที่มีช่วงเวลาที่โชคดีของผม เวลาที่ผมรอคอยมาไว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพยายามสู้กับมันเพื่อความถูกต้อง ความยุติธรรมมันก็ค่อนข้างที่จะกลับมาเร็ว จริงๆ ก็มีคนเตือนผมตลอดเวลาและเยอะมากผมจะรุ่งๆ ก็จะมีสิ่งที่ทำให้สะดุด ผมเองก็รับฟังและเก็บมาปฎิบัติตลอด หลักๆ ผมเองก็ต้องเตือนตัวเองด้วยว่าอย่ากลับไปประมาทกับการใช้ชีวิตอีก ผมคิดว่ามันคงจะไม่มีอีกแล้ว ผมสูงที่สุดแล้วก็กลับมาลงติดลบจากศูนย์ ไปอยู่ลอนดอนก็ไปเป็นเด็กธรรมดาคนนึง ทำงานไปเรียนไปเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เราผ่านมันมาหมดแล้วเราได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง”
       
       “มันทำให้ผมโตขึ้นอีกเยอะมาก ทำให้ผมคิดว่าเราน่าจะทำอะไรให้กับพ่อแม่แฟน และคนที่เขารักเรามากกว่านี้ เพราะเราไม่อยากให้เขามาเสียน้ำตากับเราอีกแล้ว เรื่องชื่อเสียงจะกลับมาเหมือนเดิมรึเปล่า ผมไม่คาดหวังเลย ผมแค่อยากทำอะไรเพื่อพ่อแม่ เพื่อสังคมเพื่อแฟนๆ ของผม แล้วเขาก็จะเป็นคนตัดสินผมเอง ผมทำหน้าที่ได้เพียงให้กำลังใจตัวเองไม่ให้ท้อ เพราะก็ยังมีคนที่รอผมอยู่เพื่อเป็นการตอบแทนที่เขารอผมอยู่”
       
       “ครั้งนี้สอนให้ผมรู้ว่าความทุกข์มันเป็นเรื่องเล็กมาก เราจะต้องเอาชนะและก้าวผ่านมันไปให้ได้ อย่าไปจมอยู่กับมัน มันทำให้ผมไม่ยึดติดกับอะไร ผมไม่ยึดติดว่าผมจะต้องกลับมาดังมาแรงขนาดไหน ผมคิดแค่ว่าผมจะทำยังไงในแต่ละวัน เรียกว่าอยู่กับปัจจุบันให้มันมากขึ้น”
       
       ส่วนความรักขอพักใจก่อน ยันสัมพันธ์สาว “แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์” สนิทกัน ชมอีกฝ่ายน่ารักผู้ชายที่ไหนก็ต้องประทับใจ อยากให้สัมพันธ์ค่อยเป็นค่อยไป
       
       “ครั้งนี้แม่ผมสอนครับ ว่าก่อนที่ลูกจะไปมองคนอื่นลูกต้องมองตัวลูกเองก่อน ว่าลูกพร้อมหรือยังลูกถึงค่อยมองคนอื่นได้ ผมเองก็มองว่าผมยังไม่พร้อม ผมยังไม่รวยถึงขั้นที่ผมต้องการ ผมยังไม่อยู่ในขั้นที่จะมีแฟนก็เลยเชื่อคำแม่ว่าอย่าเพิ่งไปมองหาใครเลย ผมต้องทำงานให้พ่อแม่อยู่สบาย มีเงินช่วยสังคมก่อน ทำอะไรที่เราอยากจะทำ ให้เงินมันทำงานแทนเราได้ก่อน เราถึงจะพักตรงนี้ได้ ก็เจออะไรมาเยอะแล้วคงต้องพักจริงๆ”
       
       “กับน้องแพนเค้กเองเราก็สนิทกัน เราสนิทกันมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมาเป็นข่าวมากๆ ตอนช่วงที่หลังจากเกิดวิกฤตอะไรต่างๆ ที่บ้านเรา หรือที่ต่างประเทศเขาเจอ เราเจอกันตอนไปช่วยงานสังคม ก็จะเจอน้องกับแม่เขาตลอดเวลาเลยทำให้เราสนิทกันมากกว่าเดิม หลังๆ เรามีโปรเจกต์ด้วยกัน เป็นพรีเซนเตอร์สินค้าด้วยกัน แต่เขาไม่ได้แถลงข่าวเพราะน้ำท่วม ก็เลยไม่ได้แถลงข่าวคนก็ไม่ค่อยรู้ หลังจากนั้นพักหลังๆ เราก็เลยมาเจอกันที่งานช่วยเหลือน้ำท่วมบ่อยยิ่งขึ้น เรียกว่าเจอกันบ่อยมากๆ ทั้งหน้าจอและหลังจอ เห็นเขาแล้วรู้สึกว่าเด็กคนนี้ดีเนอะ ว่างเมื่อไหร่เขาก็มาช่วยสังคมตลอดเวลาเลย ก็เลยทำให้เราสนิทกัน”
       
       “น้องเป็นคนดีครับ คุณแม่เขาเองก็น่ารักมาก ก็เป็นที่น่าประทับใจของหนุ่มๆ ทุกคน ผมเองก็เป็นคนคนนึงที่ปลื้มและประทับใจน้องเขา แต่จะตอนนี้เลยมั้ย ผมว่าให้เวลากับมันดีกว่า คงทำงานก่อน น้องเขาเองก็คงอยากจะทำงานก่อนเหมือนกัน เพราะก็เจอมาเยอะเหมือนกัน (ใช้คำว่าค่อยเป็นค่อยไปกันไปก่อน?) ผมเองยังไม่รู้เลยว่าจะใช้คำว่าอะไรดี ตอนนี้ขอใช้ชีวิตตามปกติ มันเป็นเรื่องของอนาคตที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไม่ลุ้นอะไร ก็ขอเจอน้องเขาตามงานอย่างนี้ไปก่อน”
       
       “หลังจากมีข่าวก็ยังคุยๆ กับแม่กับน้องเขาเราก็ขำๆ เรื่องภาพที่ออกมามันก็เลี่ยงไม่ได้ที่คนจะคิดไปอย่างนั้น ก็คิดว่าเราสองคนมีความรู้สึกดีๆ ให้กันก็พอแล้ว อย่างเพิ่งไปคิดอะไรถึงขั้นนั้นเลย แค่นี้มันก็มีความสุขของเราได้แล้ว ถ้าคิดๆ แล้วมันหายไปมันจะดีรึเปล่า ก็เป็นแบบนี้ดีกว่า หลายๆ คนก็มีช่วยๆ เชียร์ช่วยแซวครับ แต่เราก็สนิทกันหมดแหละ ค่อยเป็นค่อยไปครับ”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)