Author Topic: ในหลวง พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ แด่ “ป้าจุ๊ จุรี โอศิริ”  (Read 3183 times)

0 Members and 2 Guests are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai












พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ แด่ “ป้าจุ๊ จุรี โอศิริ” หลังจากไปอย่างสงบในวัย 82 ปี ที่บ้านพัก จ.เชียงราย ด้วยโรคชรา ด้าน “ตู่ นพพล” เผยสุดปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณ เชื่อว่าผู้เป็นแม่ก็คงภูมิใจมากเช่นกัน โดยมีกำหนดสวดพระอภิธรรมทั้งสิ้น 7 วัน และจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ 2 ก.พ. นี้
       
       ที่ศาลา 10 วัดมกุฏกษัตริยาราม แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 16.50 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ แด่ “ป้าจุ๊ จุรี โอศิริ” ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์และละคร) ปี 2541 หลังจากไปอย่างสงบในวัย 82 ปี ที่บ้านพัก จ.เชียงราย ด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา โดยมี หม่อมปริม บุนนาค เป็นประธานในพิธี
       
       ด้าน “ตู่ นพพล โกมารชุน” ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของผู้เป็นมารดาด้วยน้ำตาคลอเบ้าตลอดเวลาว่า...
       
       “แม่เสียตอนเที่ยงคืนห้าสิบ ของวันที่ 25 มกราคม ผมไม่ได้อยู่ด้วย ผมถ่ายละครเสร็จตอนสองยามไปถึงบ้านก็ยังไม่ทราบข่าว ตอนนั้นพอดีมีคนที่บ้านป่วยผมก็ไปดูแลเขา กว่าจะทราบว่าแม่เสียก็ตอนสองยามกว่า ผมเสียใจที่ไม่ได้อยู่กับแม่ แต่มีความจำเป็นจริงๆ เพราะต้องไปถ่ายละคร”
       
       “ก่อนหน้านี้ที่ต้องพาแม่ไปอยู่ที่เชียงรายเพราะบ้านที่กรุงเทพน้ำท่วม อยู่ไม่ได้เลย ก็เลยต้องพาแม่ไปอยู่ที่นั่น ผมเจอแม่ครั้งล่าสุดช่วงปีใหม่ ผมกลับไปนอนที่บ้านเชียงราย ก็ได้พูดคุยกันตลอด ก็ได้บอกแม่ว่าถ้าทำความสะอาดบ้านที่กรุงเทพเสร็จจะมารับกลับบ้าน ตอนน้ำท่วมทำให้บ้านเรามีราขึ้นทั้งหลัง ผมเป็นห่วงว่าถ้าพาแม่กลับมาแล้วกลัวกำจัดรายังไม่หมด ไม่สะอาด ก็จะเป็นอันตรายกับคนสูงอายุ ก็เลยตัดสินใจยังไม่ไห้แม่ลงมากรุงเทพ”
       
       “แม่เองก็คงไม่มีอะไรต้องห่วงเราแล้ว เรียกว่ามาถึงบั้นปลายของแม่แล้ว เพราะตอนที่อยู่ทีเชียงรายแม่มีความสุขกับธรรมชาติ อยู่ที่นั่นมีพยาบาลอยู่เป็นเพื่อนหนึ่งคน และแม่ครัวหนึ่งคนคอยทำอาหารให้ทาน และคนทำความสะอาดบ้านอีกหนึ่งคน”
       
       เมื่อถามถึงความทรงจำเมื่อครั้งที่ “ป้าจุ๊” ยังมีชีวิตอยู่ได้สอนอะไรบ้าง “ตู่ นพพล” ก็เผยว่า...
       
       “แม่เป็นคนไม่ได้สอนอะไรเลย แต่แม่จะแนะนำให้มองคนที่เก่งมากกว่า แม่จะถือว่าถ้าเราเป็นนักแสดง คนที่เราต้องฟังคนแรกคือผู้กำกับ เพราะฉะนั้นแม่จะไม่สอน ปล่อยให้หาเอง อยากเป็นนักแสดงให้ไปหาประสบการณ์เอง ต่อสู้เอง ทุกอย่างต้องทำเอง แม่เป็นคนสู้ชีวิตมาด้วยตัวเองตลอด หลังจากที่หย่ากับพ่อ ผมอายุ 3-4 ขวบเท่านั้น แม่เลี้ยงลูก 2 คน แม่สู้ด้วยตัวเองมาตลอด แม่ไม่มีใครคอยดูแล แต่แม่ก็สามารถเลี้ยงลูกมาได้จนถึงทุกวันนี้ ตรงนี้ก็เป็นคนสามารถของแม่ และแม่ก็จะบอกวิธีให้กับลูกเพราะฉะนั้นแม่จะไม่สอนให้ไปหาเอาเอง”
       
       “ผมยึดความพยายามและความตั้งใจของแม่เป็นแบบอย่าง แม่เป็นคนที่ตั้งใจสูงมาก การพากษ์หนังถ้าเป็นคนรุ่นหลังที่มานั่งพากย์กับแม่ อย่างพี่ดวงดาว จารุจินดา จะทราบดี ถ้าไม่เป๊ะกับการพากย์จะไม่ยอมให้ผ่าน แม่เป็นคนที่มีคนรักเยอะมาก มนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนได้ทุกวัย แม่ใช้ความสามารถในการทำงาน อยู่ได้ด้วยความสามารถ ฉะนั้นแม่มีความรับผิดชอบกับงาน จนกระทั่งเรื่องสุดท้ายที่เล่นด้วยกันเรื่องเคหาสน์สีแดง แม่คล่องบทมาก เวลาแม่เข้าฉากแม่ไม่เคยถือบทเข้าฉาก นั่นคือความรับผิดชอบของการเป็นนักแสดงมืออาชีพ”
       
       ขณะที่ “ปรียานุช ปานประดับ” เองก็ได้เผยถึงความในใจที่มีต่อ “ป้าจุ๊” ว่า... “แม่บอกว่ามาอยูด้วยกันไม่ได้เป็นลูกสะใภ้ แต่แม่มองว่าเป็นลูกสาว ก็คุยกันปกติ ส่วนใหญ่แม่จะตลก ครั้งสุดท้ายที่โทรศัพท์คุยกับคนที่ดูแล ตอนหนึ่งทุ่มก่อนแม่เสียชีวิต แม่ยังให้คนดูแลร้องเพลงให้ฟังอยู่ที่บ้าน เพลงนกเขาคูรัก นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ได้โทรไปหา”
       
       “เรื่องการใช้ชีวิตคู่แม่กับป๋ารักกันดีจนวันสุดท้ายของชีวิต เราก็ดูคู่ของแม่กับป๋าเป็นตัวอย่าง แม่ไม่เคยสอน แต่ทำให้ดูมากกว่า ประทับใจที่แม่เป็นคนทำงาน ตั้งใจทำงาน สุดท้ายเมื่อเดือนธันวาคมก็ยังไปเล่นละคร เรารู้สึกทำเหมือนแม่ไม่ได้ ขนาดแม่ไม่ไหวก็จะเล่น ตรงนี้ประทับใจมาก”
       
       ส่วนเรื่องตั้งมูลนิธิ “ป้าจุ๊” นั้น “ตู่ นพพล” แจงว่าคงไม่มีการก่อตั้งเพิ่มเพราะอยากสานต่อมูลนิธินักแสดงอาวุโสที่ผู้เป็นแม่บุกเบิกมากับมือมากกว่า
       
       “คงไม่ เพราะมูลนิธิที่สำคัญที่สุดของแม่คือมูลนิธินักแสดงอาวุโสเพราะแม่เป็นรุ่นก่อตั้ง เคยเป็นประธานมูลนิธิ ตัวผมถ้าถึงวัยอันสมควรก็จะไปดูแลอย่างจริงจัง เพื่อสานต่องานของแม่”
       
       พร้อมกันนี้ “ตู่ นพพล” ได้เผยถึงความรู้สึกที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ให้แก่ “ป้าจุ๊” ว่ารู้สึกปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ พร้อมบอกสิ่งที่ผู้เป็นแม่ภูมิใจที่สุดก็คือการได้รับใช้เบื้องพระยุคคลบาทเมื่อสมัยเป็นนักพากย์หนัง
       
       “ผมรู้สึกดีใจแทนแม่มากๆ ที่ได้พระราชทานน้ำหลวงอาบศพจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพราะสิ่งที่แม่ภูมิใจที่สุดของการเป็นนักพากย์ก็คือการได้เข้าไปนั่งพากย์ต่อหน้าพระพักตร์ในวังสวนจิตรลดา สมัยก่อนเวลาที่พระองค์ท่านกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะดูหนัง ท่านจะให้นักพากย์เข้าไปพากย์ด้วย พากย์ต่อหน้าพระพักตร์เลย พากย์เสร็จพระองค์ท่านจะพระราชทานเลี้ยงอาหารดึก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่แม่ภูมิใจมาก การได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับพระองค์ท่าน เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นวันสุดท้ายของแม่ แม่ได้รับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ คิดว่าถ้าแม่เห็นจะเป็นสิ่งที่แม่ภูมิใจมากที่สุด”
       
       สำหรับบรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างเศร้าโศก มีบรรดาคนดังในวงการบันเทิงเดินทางมาร่วมไว้อาลัย ป้าจุ๊ เป็นครั้งสุดท้ายอย่างคับคั่ง อาทิ เศรษฐา ศิระฉายา และลูกสาว อีฟ พุทธิดา พิศมัย วิไลศักดิ์ สุเชาว์ พงษ์วิไล เจสัน ยัง ซูซี่ สุษิรา แองจิลีน่า ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค ฯลฯ ทั้งนี้ กำหนดสวดพระอภิธรรมศพจะมีตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม-1 กุมภาพันธ์ และจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เวลา 17.00 หลังจากนั้นครอบครัวจะนำกระดูกของป้าจุ๊ไปลอยอังคารในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่หาดเจ้าหลาว จันทบุรี ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่ลอยอังคารกระดูกของ “ลุงปุ๊ย สมชาย สามิภักดิ์” สามีผู้ล่วงลับของป้าจุ๊

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)