เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมา ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง ALWAYS ได้เปิดตัวหนังภาค 3 ที่มีชื่อว่า ALWAYS San-chome no Yuhi ‘64 ซึ่งจะเข้าฉายในอีกไม่กี่วันข้างนี้นี้อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้แนวคิดใช้ท้องฟ้าสีน้ำเงินเป็นเวทีฉากหลังสำหรับการแถลงข่าวเปิดตัวหนังเรื่องนี้
ดำเนินมาถึงภาคที่ 3 กันแล้วสำหรับภาพยนตร์ชุด ALWAYS ที่เล่าเรื่องชีวิตของชาวญี่ปุ่นในยุค 60s โดยในหนังภาค 3 ยังคงจะเสนอภาพชีวิตของกลุ่มตัวละครกลุ่มเดิมในถนนสายที่ 3 กับเรื่องราวของพวกเขาที่เกิดขึ้นในปี 1964 อันเป็นช่วงเวลาที่มหกรรมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเดินทางมาจัดกันที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ประเทศอาทิตย์อุทัยเจริญเติบโตไปสู่ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
สำหรับงานเปิดตัวภาพยนตร์ที่จัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน เป็นงานอีเวนต์ที่ใช้ทุนสูงร่วม 30 ล้านเยน (12 ล้านบาท) กับงานกลางแจ้งที่ใช้ฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีน้ำเงิน และหอโตเกียว กับไฮไลท์สำคัญการเขียนตัวเลข “3” สามตัวบนท้องฟ้า ที่หมายถึงหนังภาค 3, ระบบภาพ 3-D และถนนหมายเลข 3 อันเป็นฉากหลังของเรื่อง
นักแสดงหนุ่ม โยชิโอกะ ฮิเดะตะกะ กล่าวว่าการจัดงานได้อย่างลุล่วงสมบูรณ์แบบไม่มีอุปสรรคอะไร คงเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับโชคดีตลอดทั้งปีนี้ เช่นเดียวกับ ยากุชิมารุ ฮิโรโกะ ที่มองว่าเป็นโชคดีที่วันนี้อากาศแจ่มใสจนงานแถลงข่าวจัดกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนนางเอกสาว มะกิ โฮะริกิตะ ก็แสดงความประทับใจกับขั้นตอนการเขียนตัวเลข “3” สามตัวบนท้องฟ้ามาก โดยเธอบอกว่าในหนังจะฉากที่มีการทำเครื่องหมายโอลิมปิกบนท้องฟ้า แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นของจริง
ALWAYS San-chome no Yuhi ’64 ภาคที่ 3 ซึ่งจะเข้าฉายในวันที่ 21 ม.ค. นี้เป็นงานในหนังชุดไตรภาค ALWAYS ที่เล่าเรื่องราวสุดแสนประทับใจของชาวญี่ปุ่นในอดีต ซึ่งนี่จะเป็นหนังภาคแรกที่จะเข้าฉายทั้งในระบบ 2-D และ 3-D เป็นผลงานของ ยามาซากิ ทาเคชิ ที่สร้างหนังสองภาคแรกกวาดทั้งรางวัลจากสถาบันต่าง ๆ ในประเทศ และทำเงินอย่างมหาศาล
ตัวของดาราสาว มะกิ โฮะริกิตะ ยังได้พูดถึงความประทับกับการทำงานในกองถ่ายหนังชุดนี้ซึ่งกินเวลามา 7 ปีแล้วว่า “ตอนที่แสดงเป็นตัวละคร มัตสึจัง ในหนังภาคแรกฉันอายุแค่ 16 ปีเองค่ะ ... ยังไงก็ช่วยติดตามกันจนถึงบทสรุปของตัวละครด้วยนะคะ”
ส่วน โยชิโอกะ ผู้รับบทนำเป็น จะงะวะ ริวโนะสุเกะ นักประพันธ์ตกยาก ก็กล่าวถึงเพื่อนนักแสดงรุ่นน้องอย่าง โฮะริกิตะ ด้วยความภาคภูมิใจว่า “ด้วยความที่หนังชุดนี้ช่วยให้ทั้ง ซุงะคุง (เค็นตะ ซุงะ) และ โฮะริกิตะซัง ได้เติบโตขึ้นในฐานะนักแสดงที่มีความเป็นอิสระ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเป็นเกียรติขึ้นไปอีกครับ”
ที่มา: manager.co.th