ถ้าพูดถึงคณะหมอลำที่มีชื่อเสียงในภาคอีสาน หลายคนก็คงนึกถึงวงดนตรีเสียงอิสาน ของ “แม่นกน้อย อุไรพร” (ฉิมหลวง) เพราะวงเสียงอิสานนั้น ถือได้ว่าเป็นวงดนตรีหมอลำที่มีการแสดงที่อลังการ หางเครื่องพร้อม ทีมงานที่อัดแน่นมาเต็มวงเกือบ 500 ชีวิต สร้างความสนุกสนานแก่บรรดาแฟนๆ ทางภาคอีสานได้เป็นอย่างดี
โดยเมื่อย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน คณะเสียงอิสาน ที่มีหัวเรืออย่างแม่นกน้อยนั้น เคยมีงานรุมไม่ขาดสาย ซึ่งถ้าใครจะติดต่อให้ทำการแสดงต้องจองล่วงหน้าถึง 2 ปีเลยทีเดียว โดยช่วงที่วงดนตรียืนอยู่จุดสูงสุดนั้น เคยรับงานสูงถึงปีละ 240 งาน นับได้ว่ารายได้นั้นไม่ต่ำกว่าหลัก 50 ล้านบาท แต่เมื่อช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ใครจะเชื่อว่า วงดนตรีชื่อดังต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ ถึงคิดจะยุบวงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง หนักที่สุดก็เห็นจะปี 2553 ที่ผ่านมา วงเสียงอิสานต้องพบเจอกับปัญหาหลายๆ ด้าน เช่น ภาวะเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ และความไม่สงบของสถานการณ์บ้านเมือง เทปผีซีดีเถื่อน เป็นเหตุทำงานที่เคยจ้างล่วงหน้าไว้ต้องยกเลิกไปกว่า 40 งาน และลดลงเรื่อยๆ จนถึง 70 เปอร์เซ็นต์
ด้วยสมาชิกภายในวงเกือบ 500 ชีวิต ที่ต้องเลี้ยงดู หรือแม้กระทั่งค่าน้ำมันรถในวงที่ต้องเติมในแต่ละเดือนอีกเกือบ 5 ล้านบาท แม่นกน้อยต้องรับภาระในส่วนนี้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อเดือน ยิ่งพอนานเข้างานก็น้อยลงไม่พอเลี้ยงปากท้องให้ลูกวง จึงจำเป็นต้องนำทรัพย์สินที่มีอยู่อย่างบ้านและที่ดินเกือบ 50 ไร่ เอาไปจำนองให้กับธนาคาร 50 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาทำทุนต่อ แต่เมื่อรายได้ที่เข้ามามันก็ยังไม่พอกับค่าใช้จ่าย ส่งผลทำให้แม่นกน้อยเริ่มมีหนี้สินพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
ล่าสุด ได้มีกระแสข่าวออกมาว่า แม่นกน้อย อุไรพร เจ้าของวงดนตรีเสียงอิสานชื่อดัง ถึงกับเครียดจะยุบวง และได้หนีไปบวชชีพร้อมกับได้ลอยแพลูกน้องกว่า 500 ชีวิต และเมื่อมีกระแสดังกล่าวออกมาเช่นนี้ เจ้าตัวพร้อมกับสามี “พ่อใหญ่หลอด มัยกิจ ฉิมหลวง” จึงได้เดินทางมาออกรายการเจาะใจ ที่จะออกอากาศในคืนวันที่ 21 กรกฎาคม ทาง ททบ.5 นี้ หลังจากที่เจ้าตัวได้ไปบวชชีมา พร้อมกับชี้แจงเรื่องราวกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้น
แม่นกน้อย : “เราเกิดมาเป็นลูกชาวนาไม่มีพ่อ เป็นกำพร้า และก็ลำบาก เห็นความลำบากของแม่เรา สงสารแม่ที่ต้องเอาข้าวไปแลกหัวมัน แลกปลาร้าให้ลูกกิน หาบกระบุงอยู่ในทุ่งนา เก็บรวงข้าวที่มันขาด มันร่วงอยู่ในทุ่งนา และชีวิตที่เราเห็นนี่คือชีวิตของแม่ เราเลยอยากจะอยากมีฐานะที่ดีกว่านี้ แต่นั่นก็เป็นแค่ความฝันของเด็ก คือ จะบอกว่าเราฝันว่าเราอยากได้ดี อยากรวยมันก็ไม่ใช่นะ แต่ความหมายคือในความรู้สึก อยากเป็นศิลปิน ชอบร้องเพลง เปิดฟังเพลงตามวิทยุทรานซิสเตอร์ ซึ่งแม่เราก็ชอบพาไปประกวดหลายๆ เวที ไม่ค่อยชนะหรอก ส่วนใหญ่ได้ที่ 2 ที่ 3”
“แม่เขาเสียงดี ช่วยต่อเพลงให้ตลอด แม่เอาพลังมาใส่ให้ลูกหมด ที่ได้ดีทุกวันนี้น่าจะได้ดีเพราะปากของแม่ แม่เราชอบพูดแบบว่าหนูเสียงดีมาก หนูเก่ง หนูต้องทำได้ หนูต้องๆๆ….จนเราร้องไห้”
เส้นทางสู่การเป็นนักร้องหมอลำ ครั้งแรกในวงดนตรีเพชรพิณทอง
แม่นกน้อย : “ตอนนั้นวงเพชรพิณทองรับสมัครนักร้องคนมาสมัครเยอะ เราก็ไป เจ้าของวงก็พูดขึ้นว่า “เฮ้ย อีดำๆ นี่มึงมาอะไร” แล้วเราก็มีลังกระดาษมีมุ้ง มีผ้าถุง มีเสื้อผ้าเก่าๆ คือ จัดไปหมด แต่ไม่รู้ว่าท่านจะรับหรือเปล่า ท่านถามแล้วก็มองขำๆ “ลังใครน่ะ” แม่ของเราก็บอกว่าของเขานี่แหละพาลูกมาสมัคร เจ้าของวงเขาก็ถามต่อว่า“ไหนล่ะลูกเธอ” แม่ก็ชี้มาที่เรา “แล้วมึงนึกยังไงถึงได้ขนเสื้อผ้ามา..กูจะรับมึงไหม มึงมั่นใจยังไง แล้วมึงจะไปพักไหน” แม่เราก็ตอบไปว่า “ไม่มี ไม่รู้จักใครเลย ท่านก็เลยพูดคำๆหนึ่ง “พวกมึงน่ะ…มาพาอีนี้ไปพักด้วย” แล้วก็ให้ร้องเพลงให้ฟัง เสียงโดนมือพิณของวง ท่านบอกว่าให้รับไว้ เพราะดูแล้วอนาคตน่าจะไปได้ไกล”
เริ่มก้าวออกมาทำวงดนตรีเอง แต่เริ่มจากวงดนตรีลูกทุ่ง ซึ่งสมัยก่อนคนดูยังไม่ยอมรับ
แม่นกน้อย : “จากนั้นก็มาเป็นนกน้อย เสียงอิสาน ต่อมาเราก็มาทำเป็นวงลูกทุ่ง ตอนปี 2519 ทำ 3 ปี ก็มีปัญหา คนดูไม่ยอมรับเพราะสู้หมอลำไม่ได้ หมอลำเล่นถึงสว่าง แต่ลูกทุ่งเล่นแค่สองยามก็เลิก เมื่อก่อนอิสานถนนยังเป็นดินแดงลูกรัง ชาวบ้านเขามากันไกลมาดูทีก็ต้องสว่าง พฤติกรรมของคนคือมาดูกันถึงเช้า วงลูกทุ่งเลิกแค่ 2 ยามเลยไม่มีใครอยากมาดู ครั้งที่สองก็เลยปรับเป็นวงหมอลำ ฝึกร้องหมอลำ”
“แต่พอปรับเป็นหมอลำแล้วถึงงานเยอะ แต่มีปัญหาอยู่ ตรงที่นักดนตรีส่วนมากไม่ยอมรับหัวหน้าวงที่เป็นผู้หญิง นักดนตรีก็เลยพากันออกหมด ไม่ยอมทำงาน เราก็คุยกับเขาแต่คุยกันไม่รู้เรื่องนักดนตรียังไงก็ไม่ยอมเล่น บนเวทีก็จะมีแต่แคนแล้วก็ร้องไป มีทีมหมอลำรำไปกับแคนมันก็เล่นได้ สักพักหมอลำจะขอขึ้นค่าตัวอีก แล้วก็ปัญหาส่วนตัวของลูกวงกันเองเยอะมาก ก็คุยกันกว่าจะเข้าใจกัน กว่าจะยอมรับกันก็นานทีเดียว”
ยุคนั้นมีคู่แข่งเยอะถือคติต้องเป็นผู้นำไม่ใช่ผู้ตาม
แม่นกน้อย:“พอหันมาทำวงหมอลำหางเครื่องอย่างต่ำต้อง 8-10 คน เราก็ปรับครั้งแรกก็เพิ่มเลยเป็น 24 คน ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดแล้ว เพราะปกติถ้าเป็นวงลูกทุ่งสูงสุดไม่เกิน 18-20 คน ส่วนเรื่องชุดโป๊ หมอลำเขาก็เริ่มทำจะฮือฮามากคณะไหนกล้าใส่แค่กางเกงขาสั้นโชว์ เราก็เลยไปเดินซื้อแค่กางเกงใน บีกินี่ ที่กรุงเทพฯ มาให้หางเครื่องใส่ บอกกับลูกวงว่าถ้าคณะไหนใส่ขาสั้นพวกมึงต้องใส่บิกีนี่ เพราะอะไร..เพราะเราไปดูโชว์และเอาโชว์มาให้พวกมันดู คือมันต้องพัฒนา เราตามไม่ได้ต้องเป็นผู้นำ สุดท้ายไปแข่งกันที่หนองบัวละเว้ กับดาวบ้านดอน ตอนนั้นดาวบ้านดอนเขาฮอต มึงใส่ขาสั้น กูใส่ชุดสูทไอ้ที่บางๆ สีเนื้อ แล้วไม่ใส่กางเกงใน มันต้องแข่งกัน”
“นอกจากจะแข่งกันในเรื่องของหางเครื่องยังมีการแข่งกันรูปแบบอื่นเยอะมาก บางคณะก็ใช้วิธีแกล้งกัน บางครั้งเรากำลังแสดงอยู่ เขามาตัดเครื่องปั่นไฟหรือสายไฟ บางทีก็มีการเสกคุณไสยใส่กันก็มี อย่างวงเราก็เคยโดน มีลูกน้องร้องเพลง อยู่ดีๆ เลือดออกปาก”
บอกปี 2526 ถือว่าวงเสียงอิสานประสบความสำเร็จสูงสุด
พ่อหลอด : “ตอนปี 2526 ดังสุดๆ คนจะพูดถึงทั้งทีม หางเครื่องเยอะ นับไม่ไหว อย่างตอนปี 26 อยู่ที่ประมาณ 50 คน ปี 2530 ผมเริ่ม 100 ขึ้นเลย คนก็เลยพูดถึง เจ้าภาพคนไหนอยากให้เสียงอิสานไปเล่น ต้องจองกันข้ามปีเวลาการแสดงในแต่ละครั้งต้องใช้ทีมงานในวงกว่า เกือบ 500 คน ในชีวิตของพวกผม เราไม่มีทายาท ไม่เคยนอนโรงแรม ไม่เคยกินอยู่ปกติสองคนส่วนตัว ลูกกินอะไรเรากินด้วย ลูกนอนไหนเรานอนด้วย ตั้งแต่ทำวงมาไม่เคยว่าพอพักวงแล้วไปนอนโรงแรมนะ ไม่มี แล้วกฎเหล็กของผมนั่นก็คือการพนัน ดื่มเหล้า แล้วก็ชู้สาวผิดตักเตือนครั้งแรก ผิดครั้งที่2ภาคทัณฑ์ ผิดครั้งที่3ก็คือออกไป ยิ่งลูกคนไหนเป็นผู้หญิงยิ่งต้องดูแล ต้องให้ความรักมากกว่าพ่อกว่าแม่เขาด้วย แต่ตอนนี้มีเทคโนโลยี ปัญหามาก็เยอะ อยู่มุมไหนก็โทรศัพท์ โกหกกันได้ ยุคนั้นใครทำผิดต้องเฆี่ยน เรายังยึดคติเรื่องรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี บางครั้งตีลูกจนไข้ขึ้น”
แม่นกน้อย : “อย่างบางคืนเราแสดงอยู่บนเวที แล้วมันมีจอหนังกลางแปลงฉายอยู่ข้างๆ เวที ลูกมันขอไปเข้าห้องน้ำ ไปแล้วไปนั่งสุมหัวกันดูหนัง เราก็แต่งชุดหมอลำลงจากเวทีได้ไม้เรียวเดินไปไล่ลูกมาจากจอหนัง สห. เห็นก็วิ่งตามนึกว่าคนตีกัน ที่แท้เราตีลูกวงของเราเอง”
จากที่เป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็เริ่มเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจ
แม่นกน้อย : “มันมาตั้งแต่ปี 36 เริ่มมาเรื่อยๆ งานมันก็ค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังรับได้ แต่มา2-3ปีหลังมานี้ ทั้งภาวะเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องของภัยธรรมชาติ ทั้งเรื่องของการจัดระเบียบสังคม ที่ห้ามคนออกมาตอนกลางคืนแล้วคนที่ไหนจะมาดู ไหนจะเรื่องเทปผีซีดีเถื่อน หลายๆ อย่างรวมกัน ที่แย่สุดๆ เมื่อปีที่แล้วเจ้าภาพโทร.มายกเลิก 40 กว่างาน ก็เลยยิ่งเครียด คิดไม่ออกเลยว่าฤดูการแสดงนี้จะมีงานเข้ามาไหม ถ้าไม่มีหรือมีน้อยจะเอาเงินที่ไหนดูแลลูกๆ เพราะไม่มีการแสดงเขาก็ต้องอยู่กินกับเรา ถามว่าขาดทุนไหมขาดทุนแน่นอน จนมันเริ่มเข้าเนื้อ ต้องเอาเงินเก็บออกมาใช้”
“จากปีนึงมีงาน 240 งานต่อปี ใครจะจ้างต้องจองข้ามสองปีสามปี แต่ปีที่ผ่านมางานลดลง ประมาณ 70เปอร์เซ็นต์ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการออกทัวร์การแสดงแต่ละเดือนก็จะมีค่าน้ำมันตกเดือนละ 4-5 ล้านบาท ค่าทำชุด ค่ากินค่าอยู่แต่เราก็ยังต้องลงทุนเพิ่มอีก 10 ล้าน เพราะต้องเอามาทำเวที ทำไฟ ทำรถ เพราะการแสดงมันต้องมีพัฒนา คนดูจะได้ไม่เบื่อ อีกอย่างตอนที่ลงทุนก็ไม่ได้คิดว่าจะมีการยกเลิกคิวไปตั้ง 40 คิว ที่นี้เงินที่คิดว่าจะได้มาจ่ายหนี้ก็ไม่มี”
ที่ไปบวชชีเพราะแก้บนให้มีงานแต่ไม่ได้หนีปัญหา
แม่นกน้อย: “ที่ไปบวชไม่ใช่เพราะเจอปัญหา มันไม่ใช่ทั้งหมด ไปบนไว้ว่าถ้าปีนี้สถานการณ์ดีขึ้น ก็จะบวชแก้บน พอช่วงตอนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมาก็มีคนโทร.มาจองคิว แสดงว่าบนแล้วได้ผลก็เลยตัดสินใจบวช อีกอย่างอยู่ในช่วงพักวงจะได้พักผ่อนให้จิตใจสงบ”
บอกกระแสขยุบวงมาจากความคลาดเคลื่อนของข่าว ยังไงก็จะขอลองสู้อีก 5 ปี
แม่นกน้อย : “ส่วนกระแสข่าวที่ว่าจะยุบวงนั้นมันมาจากการที่มีผู้สื่อข่าวมาสัมภาษณ์ ซึ่งเขาตัดคำว่า...จะลองสู้อีกตั้งออก ข่าวมันก็เลยกระพือไป แต่ก่อนหน้านี้ก็คิดอยู่ว่าถ้ามันไม่ดีขึ้นก็จะยุบจริงๆ เราเคยลองโหวตเสียงของแฟนเพลงแฟนคลับอยู่หน้าเวทีว่าจะให้เราทำวงต่อไหมแทบจะทุกเวที แต่เสียงตอบรับคือพวกเขาไม่ยอม ยิ่งมีข่าวว่า เสียงอิสานจะยุบ มีคนโทร.มาร้องไห้ มาเยี่ยมถึงบ้านเอาของมาฝาก น่ารักมาก เขาอยากให้เราทำต่อ เพราะไม่มีอีกแล้วที่จะหาวงหมอลำที่ใหญ่ขนาดนี้ มันกลายเป็นวัฒนธรรมที่หาดูที่ไหนไม่ได้”
“ด้วยความที่เป็นวงใหญ่คนเยอะ และปัญหาใหญ่สุด คือ เรื่องเศรษฐกิจ ถ้าจะให้ตัดค่าใช้จ่ายบางส่วนออก เช่นคนหรือความอลังการบนเวทีเรื่องนี้เราก็เคยคุยกันแต่ไม่รู้จะตัดอะไร เพราะถ้าพูดถึงเสียงอิสาน มันหมายถึงความยิ่งใหญ่ ความอลังการ เลยตัดไม่ได้สักอย่าง แต่ถ้าในอนาคตถ้าหากต้องมีการยุบวงจริงๆ เราก็จะพยายามให้ลูกๆ ยืนด้วยตัวเอง มีดันเด็กใหม่ขึ้นมา เริ่มปล่อยตั้งแต่ปีที่แล้ว พ่อจะคอยดูแล แม่จะอยู่เบื้องหลังตลอด แต่แม่ว่าถ้ายังไม่ถึงนาทีที่จะต้องปิดตำนาน นกน้อย อุไรพร ก็ยังคงเป็นโชว์ต่อไป แต่ระหว่างนี้ลูกทีมทุกคนก็พูดเสียงเดียวกันว่าอย่ายุบเลย”
“ยังไงปีหน้าถ้าสถานการณ์มันไม่ดีขึ้นเราก็จะประชุมกับลูกวงว่าจะหยุดหรือสู้ต่ออีกสักตั้ง แต่ลูกๆ ก็บอกว่าจะไม่ไปไหน ไม่หนี คำว่าสักตั้งมันอาจจะปีเดียว หรือ 5 ปีก็ได้ ขนาดเราสัญญากับพ่อเมื่อ 9 ปีที่แล้วว่าทำอีกปีเดียวจะเลิก เรายังโกงเลย เพราะมันอยู่ในสายเลือดเรา นี่คือความสุขของเราที่ได้เห็นแฟนเพลงได้ออกหน้าเวที แล้วอยู่ๆ จะให้ไปทำไร่ไถนาเราทำไม่เป็น”
พ่อหลอด : “ชีวิตของเราไม่มีลูก อสังหาริมทรัพย์เราก็สร้างมา ถ้าแม่เขาอยากได้ผมพร้อม ผมจะทุ่มให้ทั้งหมด มันก็สุดแค่นี้สองคนผัวเมีย ถามว่าเงินสดเรามีไหม ไม่มีนะ ถ้าต้องเอาบ้านหลังนี้เข้าแบงค์สัก50ล้าน แล้วเอาเงินให้แม่ก็ทำไป ผมก็ยอม ผมเคยนะครับ ปีที่เรายุบครั้งแรก ครั้งสองมาครั้งที่สาม ขอโทษนะคือตระกูลของคุณนก ผมเอามาหมดเลย ไร่นาสวนบ้านเอามาเข้าแบงค์ ตระกูลผมเอามาหมดเลย ผมจะทุ่มเงินไปกับชุด เวที เครื่องเสียง สุดท้ายถ้าผมพลาด สองตระกูลถือกะลาขอทานได้เลย หมดตัวทั้งสองตระกูลแน่นอนผมบ้าถึงขนาดนั่นนะครับ”
ที่มา: manager.co.th