Author Topic: “ไข่มุก” เธอเกิดมาเพื่อเป็นนางงาม ก้าวต่อไปคือ…นักการเมือง !  (Read 1149 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


“ไข่มุก ชุติมา” นางงามแรงจอมขโมยซีน เผยเส้นทางแห่งความฝันเกิดมาเพื่อเป็นนางงาม พัฒนาตัวเองจากอ้วน ดำ สิว กลายเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดของประเทศไทย กับความฝันก้าวต่อไปคือนักธุรกิจและนักการเมือง เพื่อพัฒนาการศึกษาของเด็กไทย
       
       “ไข่มุก ชุติมา ดุรงค์เดช” มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2552 เจ้าของตำแหน่งรางวัลขวัญใจช่างภาพ และชุดแต่งกายประจำชาติยอดเยี่ยมอันดับ 3 ของเวทีการประกวดมิสยูเวิร์ส 2552 นางงามผู้มีความมาดมั่น ที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์การประกวดมิสยูนิเวิร์สว่าไม่ยุติธรรมจนฮือฮาไปทั่ววงการนางงาม พอ “ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ วัชรตระกูล” มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2553 สามารถคว้าตำแหน่งชุดประจำชาติยอดเยี่ยม และขวัญใจช่างภาพ จากกระประกวดมิสยูนิเวิร์สปี 2553 ไข่มุกในฐานะนางงามรุ่นพี่ที่รับหน้าที่เทรนด์นางงามรุ่นน้องมากับมือถึงกับร้องไห้ด้วยความดีใจขณะไปรับปุ๊กลุกที่สนามบิน จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า ไข่มุกขโมยซีนปุ๊กลุก และทำให้เกิดข่าวเรื่องความไม่พอใจถึงขั้นบาดหมางของสองนางงาม ล่าสุดก็มีข่าวว่าทั้งคู่ทะเลาะกันไปมาผ่านเฟซบุค ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของไข่มุกแรงขึ้นไปอีก วันนี้เราไปรู้จักตัวตนของไข่มุกกัน ว่าทำไมเธอแรง และมั่นใจขนาดนั้น
       
       "ความฝันที่จะเป็นนางงามของมุกมันเริ่มตั้งแต่จำความได้เลยค่ะ ภาพจำตอนนั้นคือเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสีขาวๆ หัวฟูๆ ที่ทำท่าดีใจมากที่สุดในชีวิต ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าเขาคือใครรู้แค่ว่าอยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง เป็นภาพๆ เดียวที่เราติดตราตรึงใจ ความรู้สึกดีใจของเขามันส่งผ่านจอมาให้เด็กตัวเล็กคนหนึ่งสัมผัสและอยากจะเป็นแบบเขาบ้าง มุกอยากที่จะดีใจอย่างนั้นบ้าง พอเริ่มจำความได้ก็เริ่มรู้ว่านี่เขาเรียกว่าการประกวดนางงามและคนคนนั้นคือพี่ปุ๋ย พรทิพย์ นาคหิรัญกนก แต่ตัวมุกเนี่ยเป็นคนที่อ้วนมาตั้งแต่เด็ก ดำ สิวก็เต็มหน้าด้วยคือขี้เหร่เลยล่ะ”
       
       “อ้วนถึงขั้นใส่เสื้อผ้าเด็กไม่ได้ต้องใส่เสื้อผ้าไซต์เดียวกับคุณแม่ มันเลยทำให้มุกไม่ค่อยมีความมั่นใจ แต่เราก็มีความคิดฝังหัวอยู่ตลอดเวลาว่าสักวันเราจะต้องสวยให้ได้ มุกคิดเสมอว่าตัวมุกเหมือนมีคนอีกคนหนึ่งที่เป็นนางงามและมุกเห็นเขาเป็นหน้ามุกมาตลอดมันเป็นภาพในหัวมุกตลอดตั้งแต่เด็กๆ เขาเหมือนเพื่อนในตัวมุกมีอะไรมุกก็จะปรึกษาเขา เขาเหมือนเป็นเพื่อนแท้ของมุก”
       
       "การได้เข้ามาประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สคือคุณค่าทางจิตใจของมุกทุกสิ่ง มุกเห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยพร้อม ฉลาด มีจิตใจดี ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้มุกคอยปรับปรุงตัวเองเพื่อให้เป็นผู้หญิงในอุดมคติแบบนั้นมาตลอด มันคือสิ่งที่อยากมากที่สุดแล้วในชีวิตของมุก ตั้งแต่เด็กคิดแต่เรื่องที่อยากจะเป็นนางงาม ในขณะที่คนอื่นก็ยังมองว่ามันเป็นสิ่งที่เพ้อฝัน มุกพยายามเชื่อฟังพ่อแม่ทุกย่างเพื่อที่เขาจะได้ยอมให้เราได้เข้าประกวด"
       
       "จุดหักเหที่เริ่มอยากจะจริงจังเริ่มจากการที่อยากจะลดความอ้วน ตอนอยู่มัธยมที่อังกฤษเรียกได้ว่าตอนนั้นไม่มีผู้ชายหันมามองมุกเลย จำได้วันนั้นเป็นงานเลี้ยงรุ่นทุกคนก็จะมีเดทกันหมดเหลือเราคนเดียวที่ไม่มีเดท มันเลยทำให้ความรู้สึกอยากจะสวยของเราเพิ่มทวีขึ้น หลังจากนั้นก็พยายามหักโหมวิ่งออกกำลังกาย และตั้งปณิธานกับตัวเองว่าจะต้องเข้าประกวดนางงามให้ได้ ตอนนั้นออกกำลังกายอย่างหนักมากจากน้ำหนัก77กิโลกรัม ก็ค่อยๆ ลดๆ ตอนนั้นจำได้ว่าจะวิ่งตอนดึกๆ ทุกคืน วิ่งจนเหนื่อยและนอนสลบไปเลย มันเป็นอะไรที่ทรมานตัวเองมาก เป็นอย่างนี้ยาวนานถึง 5 ปี"
       
       "แล้วในเวลานั้นเองเราก็พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับการประกวดไปด้วยทั้งหาข้อมูลในยูทูป การตอบคำถามต่าง ๆควรจะตอบยังไง เราแอบเก็บข้อมูลคนเดียวไม่เคยปรึกษาใครเลยเพราะที่บ้านไม่สนับสนุน ด้วยความที่เขาเลี้ยงเราเหมือนไข่ในหินก็กลัวเราจะเสียใจถ้าไม่ได้ตำแหน่งเพราะสภาพเราตอนนั้นมันไม่ได้กับการประกวดจริงๆ จนเราเรียนปริญญาตรีเราก็มองว่าความสวยของเราเริ่มพอดูได้แล้วเราก็เข้าไปขออนุญาตเขา แต่เขาก็บอกว่ารอเรียนให้จบก่อนเป็นข้อห้ามแบบนี้เสมอเราก็โอเคได้ จนเราเรียนจบโทแล้วเขาก็ยังบอกงั้นไปเรียนให้จบด็อกเตอร์ก่อนไป แต่มุกมานั่งนับถ้าจะเรียนถึงขนาดนั้นอายุก็จะเลยการประกวดแล้ว เขาก็เลยจำใจอนุญาต"
       
       ทุ่มสุดชีวิตหักโหมลดน้ำหนัก เตรียมความพร้อมอย่างหนักหน่วงเพื่อผลักดันตัวเองให้ไปถึงฝันเข้าประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สยาวนานถึง 4 ปี หลังจากที่เฝ้ารอคอยมาตลอด 13 ปีในที่สุดฝันนั้นก็เป็นความจริง...
       
       "ตอนอยู่มหาวิยาลัยปี 2 ก็แอบที่บ้านไปประกวดเวทีมิสลอนดอน แอบไปออดิชั่นคนเป็นพันๆ เลยค่ะ ตื่นเต้นมากต้องทั้งแต่งหน้า หาชุดราตรีเองขึ้นเวทีครั้งแรกสั่นมาก สิ่งที่มุกต้องการจะเข้าประกวดก็เพื่อสักวันหนึ่งจะได้ชนะการประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส สุดท้ายก็ได้ติด 1 ใน 20 คน แต่เขาขอหลักฐานความเป็นพลเมืองที่อังกฤษงานเลยเข้าทันที ความแตกแต่ก็ได้ที่ 5 มา”
       
       “ตอนนั้นมันเหมือนมุกใช้ชีวิตอยู่ในความฝัน เหมือนคนเพ้อเจ้อคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ค่ะ มุกว่าคนที่จะทำโลกความฝันให้เป็นความจริงได้ มันต้องมีลูกบ้า ถ้าความฝันมันมีอนุภาพแกร่งพอฝันนั้นจะต้องเป็นจริง เพราะคุณจะพยายามทำทุกอย่างที่คุณสามารถทำได้เพื่อให้คุณได้ฝันนั้นมา มุกไม่ได้เป็นผู้หญิงที่เก่งหรือเพอร์เฟคเลย สิ่งเดียวที่มุกมีคือความขยัน และความพยายาม”
       
       “การที่เราอยากจะทำอะไรจริงๆ มุกว่าเราต้องรู้จักขวนขวาย ไม่ใช่ว่าทุกอย่างมันจะหล่นลงมาให้เราหมด มุกเองไม่ได้เป็นคนที่เก่งอะไรเลย มุกใช้ความยากลำบากมากที่จะพัฒนาตัวเองกว่าจะทำให้เป็นที่ยอมรับได้ ด้วยนิสัยเป็นคนที่ชอบฟังและวิเคราะห์ อะไรที่ไม่รู้ต้องค้นหาจนรู้ทุกอย่าง มุกสืบค้นข้อมูลทุกอย่างได้จากอินเตอร์เน็ต”
       
       “ทุกๆ อย่างไม่มีใครสอน มุกหาเรียนรู้ด้วยตัวเองจากการค้นหาในกูเกิ้ลแล้วก็พยายามฝึกฝน อย่างเช่นการติดขนตาบางทีก็ติดทิ่มตาตัวเอง ติดไม่เท่ากันบ้างแต่ก็พยายามทำไปเพราะคิดว่ายิ่งฝึกฝนมันก็ยิ่งทำให้เราได้เข้าใกล้จุดๆ นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ มุกไปสืบค้นหาคลิปเทปการประกวดย้อนหลังมาเลย 10 ปีมานั่งดูซ้ำไปซ้ำมา ดูแล้วดูอีกว่าทำไมคนนี้ถึงได้ คาแรกเตอร์ของผู้ชนะที่เขามีเหมือนกันคืออะไรที่เขามีต่างกันคืออะไร แล้วเรามีอะไรบ้าง มุกลงรายละเอียดทุกเม็ด มุกใส่ใจกับทุกรายละเอียด”
       
       “จากการวิเคราะห์มุกว่าผู้หญิงเราไม่ควรจะสวยแค่หน้าตา แต่มันต้องยิ่งได้คุยก็ต้องยิ่งสวยขึ้นด้วย ก็พยายามขัดเกลาตัวเองทุกวิถีทาง ถึงขั้นศึกษาเลยนะคะก็ดูจากบุคคลทั่วไปที่เราชื่นชอบว่าทำไมคุยกับคนนี้แล้วเรารู้สึกประทับใจเขาจัง อ๋อ.....เพราะเขาพูดจาไพเราะ กิริยาเรียบร้อยน่ารัก แต่ด้วยความที่มุกเองก็เรียนเมืองนอกมา แม่มุกก็จะสอนเสมอว่าอะไรที่ดีของฝรั่งให้เอามา อะไรที่ดีของคนไทยเก็บไว้"
       
       "อย่างที่บอกปมด้อยของมุกคือเป็นคนที่อ้วนและตัวใหญ่ ตอนนั้นมุกจึงพยายามลดน้ำหนักอย่างหนักมากโดยไม่ได้พึ่งยาใดๆ ทั้งสิ้น สมองมันสั่งการเองว่าฉันจะต้องทำได้ ฉันต้องผอมฉันจะต้องดูดี จำได้ว่าก่อนเข้าประกวดมุกไม่มีสังคมเลยเพราะตั้งหน้าตั้งตาจริงจังกับการประกวด ทั้งลดน้ำหนัก ฝึกเดินแล้วฝึกเดินอีก คำถามที่เขาตอบกันมาทั้งหมดมุกตอบได้ ไม่พอจับพี่น้องมานั่งเรียงกันเป็นกรรมการแล้วเราก็เดิน โชว์ความสามารถพิเศษ รวมถึงคิดคำถามไม่ว่าจะหมวดของการเมือง สังคม เศรษฐกิจ แฟชั่นมุกเตรียมตัวถึงขั้นนั้น ตอนนั้นเราคิดว่าเราแกร่งจริงๆ แล้วจึงมั่นใจเข้าสมัคร”
       
       “จำได้เลยว่าวันที่ไปสมัครร้องไห้เลยนะเพราะว่ามันดีใจล้นเหลือ วันนี้คือวันที่รอคอย วันที่รู้เลยชีวิตตัวเองจะต้องเปลี่ยนไปเพราะมันมีคำตอบเดียวสำหรับมุกคือต้องได้เท่านั้น มันเป็นสิ่งที่มุกอยากได้มากที่สุดในชีวิต ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งอยากได้ 13 ปีที่รอคอยมันนานมากจนสามารถบังคับตัวเองให้ไม่กินอะไรได้ บังคับตัวเองตื่นขึ้นมาวิ่ง ไปสถาบันลดน้ำหนักไปช็อตตัวเอง ออกกำลังกาย กินแต่สลัด คือใจเรามันพาไปเสียจนร่างกายมันไม่ไหว"
       
       "จำได้เลยว่าก่อนสมัครนี่ต้องเข้าโรงพยาบาลให้น้ำเกลือคุณหมอถามคุณแม่ว่าลูกไปทำอะไรมาไม่มีสารอาหารในเส้นเลือด จริงๆ เราเองก็ลดมาเรื่อยๆ ไม่ได้หักโหมอะไร แต่ด้วยเราก็มีหน้าที่อย่างอื่นไหนเราจะต้องเรียนหนังสือให้ได้ดีด้วยไม่งั้นที่บ้านก็จะไม่ยอมให้เข้าประกวดอีกทุกอย่างก็จะพัง แม้กระทั้งช่วงประกวดมุกก็ยังลดน้ำหนัก จำได้ว่ากินแต่กระทิงแดง เพราะมุกกังวลว่าตัวเราจะใหญ่กว่าคนอื่น(หัวเราะ) ตอนนั้นจำได้ว่าแม่พูดอะไรไม่ออกเลยสงสารเขามาก ตอนประกวดก็ขึ้นเวทีแบบงงๆ เหมือนคนไม่รู้เรื่องไปแล้ว ได้แต่คิดย้ำกับตัวเองว่าขอให้ได้ขึ้นเวที"


"เพราะว่าเราต้องการมันมาก มันเลยผลักดันให้เรามีพลังอย่างล้นเหลือ คำว่าต้องได้ของมุกมันเป็นสิ่งที่เราพยายามที่จะคิดบวก เราคิดว่าเราต้องไม่แพ้ใคร เพราะเอาจริงๆ ตอนนั้นมุกเองก็ไม่ได้สวยอะไร แต่พยายามจะคิดว่าตัวเองสวยที่สุด เราก็พยายามทำทุกอย่างในระหว่างการประกวดอย่างสุดชีวิตเลย 4 ปีที่มุกเตรียมตัวมาอย่างหนัก ตอนที่คณะกรรมการประกาศชื่อว่ามุกได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส ตอนนั้นร้องไห้ไม่อยากจะเชื่อว่าจะทำได้ แอบคิดว่าแค่ 2 คนสุดท้ายก็ภูมิใจมากแล้ว แต่ถ้ามุกได้มันจะเป็นอะไรที่ดีมากๆ”
       
       “วินาทีที่มงกุฎมาอยู่ที่หัวมันเหมือนเราเคยเห็นภาพนี้มาก่อน มุกเห็นมันทุกขั้นตอนจากความฝันของมุกที่ผ่านมาตลอด 13 ปี มุกไม่คิดเลยว่าการที่เราได้เข้ามาอยู่ในความฝันของเราได้จริงๆ มันจะรู้สึกดีขนาดนี้ ตอนที่มงกุฎวางอยู่บนหัวเหมือนตัวเรามีพลุอยู่ในใจ เป็นพลังเหมือนจรวดที่ล่องขึ้นไปบนฟ้า มันไม่ใช่แค่การชนะเพื่อได้มงกุฎแต่สิ่งสำคัญคือมุกชนะตัวเอง มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว"
       
       "มุกย้อนกลับมาคิดเลยนะมุกทำมันได้ยังไง มุกออกกำลังกายอย่างบ้าระห่ำ อดข้าวอดน้ำ พยายามศึกษาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ทั้งเรื่องการแต่งหน้าทำผมเสื้อผ้า การเดิน การพูด การตอบคำถาม รวมไปถึงการที่ต้องมานั่งค้นหาตัวเองเพื่อที่ว่าพอเรารู้จักตัวเราเองดีแล้วจะได้เอาไปใช้ในการตอบคำถามคณะกรรมการ พอมองย้อนไปแล้วมันให้เราตกใจว่าเรามีพลังถึงขนาดนี้ได้ยังไง"
       
       แต่ชีวิตหลังจากประสมความสำเร็จได้รับตำแหน่งมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สแล้วกลับไม่สวยงามอย่างที่วาดฝัน กลับรู้สึกเคว้ง และหลงทาง...
       "การที่เราได้มงกุฎมามันเป็นเหมือนใบปริญญาบัตรสำหรับมุก แต่มุกไม่นึกเลยว่าผลจากนี้ต่อไปมันจะส่งผลอะไรอีกหลายๆ อย่าง มุกไม่รู้หรอกค่ะว่าการที่เราพยายามผลักดันตัวเองให้ได้มาอยู่ในจุดนี้ บางครั้งก็อาจจะทำให้คนอื่นหมั่นไส้ ตลอดเวลามุกพยายามจะเอาชนะตัวเอง มุกไม่เคยคิดที่จะแข่งกับคนอื่นเลย มุกต่อสู้กับความคิดของตัวเองตลอดมา และด้วยเป็นคนที่ชอบเพ้อฝันก็เลยคิดว่าฉันจะต้องได้ในเมื่ออยากได้ก็ต้องได้ มุกคิดแค่นั้นจริงๆ เพราะถ้าเราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเราจะจิตตก อย่างที่บอกคนที่สวยกว่ามุกมีเยอะ แล้วมันก็เป็นการคิดลบ ทำให้ตัวเองไม่มีพลัง"
       
       "หลังจากการได้รับตำแหน่งมุกคิดแล้วว่ามุกพอแล้วกับชีวิตนี้ มุกเคว้งตั้งแต่วันแรกที่ได้ตำแหน่งแล้วเพราะมุกไม่ได้เตรียมตัวรับมือหลังจากวันที่ได้รับตำแหน่งเลย มุกไม่รู้ว่าฝันของเราต่อไปคืออะไร แต่เรารู้ตัวอยู่แล้วว่าเราจะต้องมาทำธุรกิจให้กับที่บ้านแน่นอน ก็มานั่งคิดไปเรื่อยๆ ดีที่ช่วงนั้นก็มีปฎิบัติภารกิจการกุศล ออกงานอีเว้นต์ เดินแบบ เป็นพิธีกร ตอนนั้นมีอะไรเข้ามามุกทำหมด แต่มันไม่มีแรงผลักดันเหมือนตอนที่เราเตรียมตัวประกวด มุกมีคำถามในใจตลอดว่าทำไม?”
       
       “มีแต่คนอยากจะมายืนตรงนี้นะตรงที่มุกยืนอยู่เป็นพิธีกร เป็นนักแสดง นางแบบ เพราะตรงนี้มันเป็นสิ่งที่มุกไม่ได้คิดไว้ มุกไม่เคยมีความคิดที่จะอยากจะเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงเลย ถ้ามุกอยากจะเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงจริงๆ เชื่อสิว่าคนอย่างมุกคงไม่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้หรอก เพราะมุกรู้ว่าเป้าหมายมุกไม่ใช่วงการบันเทิง"
       
       "แต่สุดท้ายก็ลองมาคิดว่าเออ...ลองดูก็ได้ เราจะปิดโอกาสตัวเองทำไมเรามีโอกาสแล้วเราก็น่าจะทำ คือการเป็นนักแสดงมันไม่ได้เป็นอะไรที่ดึงดูดมุกมากขนาดนั้น เรามองศักยภาพตัวเองแล้วมันไม่ใช่ ตัวมุกแต่โอเคถ้ามีโอกาสก็รับแล้วกัน แต่ในหัวเราคิดตลอดเวลาว่าเราจะไปทำอะไรต่อดี มันไม่มีแรงผลักดันแบบนั้น ทำงานในวงการมันก็สนุกนะแต่มุกไม่รู้ไงว่าอะไรมันคือสิ่งที่โดนมุกจริงๆ จนทำให้เรามีแรงฮึดสู้”
       
       ด้วยความที่เป็นคนที่ถวิลหาความสมบูรณ์แบบมาตลอด ก็ถึงคราวที่ได้รู้จักกับความผิดหวังครั้งแรกในชีวิตเมื่อพลาดท่าไม่สามารถคว้ามงกุฎมิสยูนิเวิร์ส ทำให้เข้าใจแล้วว่าโลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความจริงช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง
       
       "ชีวิตมุกที่ผ่านมาไม่ว่าจะทำอะไรมันต้องเพอร์เฟคทุกอย่าง เพราะว่าทุกคนในบ้านมุกเองก็เป็นกันอย่างนี้ ซึ่งมันเป็นบรรทัดฐานที่เราได้มาตั้งแต่เด็กๆ มุกไม่เคยรู้สึกผิดหวัง หรือไม่ได้อะไรมาก่อนในชีวิต เวลาที่มุกจะทำอะไรสักอย่างมุกจะต้องมีความมั่นใจในตัวเองมุกต้องได้ พยายามคิดบวกให้มากที่สุด คิดให้เรากำไรที่สุด ถามว่าตัวมุกสวยมั้ยคงแล้วแต่คนมอง จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้สวยหวานเท่านางงามลาตินแต่มั่นใจว่าต้องได้มิสยูนิเวิร์ส แต่พอไม่ได้มันเป็นความผิดหวังที่สุดในชีวิตเลย มุกไม่เคยผิดหวังมาก่อนในชีวิต มันเป็นครั้งแรก มุกกลัวคนอื่นจะผิดหวังในตัวมุก วูบมาก ใจหล่นที่ตาตุ่มเพิ่งรู้จักว่ามันเป็นยังไงรู้สึกผิดหวังกับตัวเองมาก คิดอยู่ในหัวตลอดเวลาว่าเราพลาดตรงไหน”
       
       “เราก็ย้อนดูทุกอย่างมันไม่มีอะไรที่มองแล้วว่าเราจะพลาด ก็ไม่รู้จะยังไง เสียใจอยู่นานมากตั้งแต่กลับจากกระประกวดมิสยูนิเวิร์สมุกเคว้งมากกว่าเดิมอีกเพราะมุกไม่รู้จะทำอะไรต่อไป ไม่ใช่ไม่มีงานทำนะมีงานทำทุกวันโดยที่ไม่ต้องดิ้นรน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรามีไฟในใจขึ้นมา ก็มานั่งคิดกับตัวเองว่าเราจะไปทำอะไรดี แล้วเราเป็นคนแบบไหน มุกต้องทำอะไร มันไม่ใช่แค่มุกอยากได้ แต่มุกจะเข้าไปถึงจิตวิญญาณ เข้าไปถึงทุกๆ สเต็ปในการเดินทางเพื่อให้ไปถึงจุดๆ นั้น"
       
       "พอมันทำไม่ได้ก็ต้องทำใจ 2 ปีเต็มที่มุกหลงทาง 2 ปีที่ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตดี ชีวิตไม่มีพลังเลยเพราะทำงานไปก็อย่างนั้นๆ งานในวงการมันก็สนุกแต่ในความรู้สึกของมุกมันกลับไม่มีอะไรเลย มุกหลงมากหาตัวเองไม่เจอ เครียดมาก เศร้ามากแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง มุกเองยอมรับค่ะว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกของความฝัน พอมาสัมผัสงานในวงการบันเทิง มันทำให้มุกรู้ว่าโลกในความฝันกับความจริงมันแตกต่างกันมาก”
       
       บทเรียนจากการต่อสู้ชีวิตจริงในวงการบันเทิงสอนให้ตนเป็นผู้ใหญ่และเข้าใจชีวิตมากขึ้น 2 ปีกับชีวิตในวงการบันเทิงที่ต้องอดทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์รวมไปถึงข่าวคราวต่างๆ ที่ทำให้รู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง แต่พ้นก็พ้นทุกข์มาได้เพราะมีธรรมะช่วยขัดเกลาจิตใจ และสุดท้ายก็ค้นหาตัวเองจนมั่นใจแล้วว่าตนไม่เหมาะกับสิ่งนี้
       
       “ความฝันของมุกสิ้นสุดที่การเป็นมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส มุกไม่ได้ฝันต่อว่าจะต้องเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ไม่ได้คิดถึงปัญหาที่จะตามมากับการที่มีสปอร์ตไลท์มาส่องเราตรงนี้เป็นสิ่งที่มุกไม่เคยคิดและไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังต้องทำตัวยังไง การใช้ชีวิตในวงการบันเทิงมันไม่ได้ง่ายอย่างที่ทุกคนคิด ตัวมุกไม่ได้ศึกษาเลยเพราะคิดถึงแต่ตำแหน่งมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สมีแค่นี้ ไม่รู้ว่าดาราจะต้องมีทั้งข่าวดีและไม่ดีควบคู่กันมุกไม่รู้มุกโง่ในตรงนั้น”
       
       “แน่นอนว่าคำสรรเสริญย่อมมาคู่กับการนินทา อันนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้เมื่อก่อนไม่เข้าใจ อยู่กับครอบครัวก็ใช้ชีวิตในสังคมที่ไม่มีอะไร เขาวิจารณ์มาเราก็ปรับตัว มุกเองเป็นคนที่สู้นะใครวิจารณ์ว่าอะไรที่มุกไม่ดี มุกเก็บมาหมด ได้อยากให้เป็นอย่างนี้เดี๋ยวมุกเปลี่ยนให้ แต่การที่มาอยู่ตรงนี้คำวิจารณ์มันล้นเหลือซึ่งมุกเองก็รับทุกอย่างเอาไว้หมดเอง จนทำให้เราสูญเสียความเป็นตัวเอง ตั้งแต่ได้รับมงกุฎมามุกร้องไห้หนักมากๆ พ่อแม่เลี้ยงมุกมาเหมือนไข่ในหินมุกไม่เคยต้องเจออะไรแย่ๆ เองเลย พอมาเจอมุกทุกข์มากแต่มันก็เป็นอีกบททดสอบหนึ่งที่ทำให้มุกได้ฝึกฝนการใช้ชีวิตโลกภายนอก"


"การเผชิญตรงนี้สำหรับมุกมันเป็นอะไรที่หนักกว่าการต่อสู้กับตัวเอง เพราะมันงง มันมีหลายเสียง หลายอย่างมากจนไม่รู้จะเอาใจใครดีมันทุกข์มาก เพราะชีวิตที่ผ่านมาใครขออะไรเราทำให้ได้ทุกอย่าง มุกโดนเสียงวิพากษ์วิจารณ์เยอะมาก ด้วยความที่มุกเป็นคนที่ไม่ค่อยเหมือนใครๆ ตั้งแต่มุกได้ตำแหน่งมาก็มักจะมีข่าวลงหนังสือพิมพ์ตลอด ทำให้เราต้องมานั่งคิดเราสำคัญขนาดนั้นเลยหรอ เราไม่ชินเลย"
       
       "คนจะไม่ค่อยเข้าใจมุกว่าทำไมชีแรง มองว่ามุกเป็นนางงามขโมยซีน สำหรับมุกมันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่แย่นะ มุกก็รับมันไว้ ในความรู้สึกมุกเข้าใจเราไม่สามารถทำให้คนทั้งประเทศไทยรักเราได้หมดทุกคน มุกผิดหวังมากค่ะแต่มุกก็ทำได้ดีแค่ตรงนี้คนที่จะเข้าใจมุกจริงๆ ก็มีไม่กี่คน มุกยกตัวอย่างนะคะคำพูดคำหนึ่งคนอาจจะตีความหมายกันแต่ต่างออกไป เช่นคำว่าสวัสดีค่ะ คนอาจจะคิดไปว่าทำไมถึงมาสวัสดีฉัน หรือว่าน้องคนนี้น่ารักจังเลยมาสวัสดี แต่เอ๊ะทำไมน้ำเสียงที่สวัสดีมันดูแดกดันจัง เหมือนพูดแดกหาเรื่อง มันก็แล้วแต่คนจะตีความหมายไงคะ"
       
       “ด้วยความที่มุกเองไม่ว่าจะทำอะไรก็กลัวที่บ้านจะเสียใจก็เลยเป็นคนที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ ในสังคมที่เป็นแบบฉบับอย่างที่เขาเซ็ทกันไว้ ผู้หญิงเรียบร้อยก็จะต้องแต่งตัวเรียบร้อย จะต้องไม่มีความมั่นใจ จะต้องเขินๆ อายๆ ทุกคนคิดแบบนี้ แต่มุกมองว่าความสวยงามของโลกใบนี้คือการที่เรามีคนที่แตกต่าง การที่มุกได้ผ่านประสบการณ์ในวงการบันเทิงมามันทำให้มุกเข้าใจข้อนี้ดีเลยว่า บางครั้งคนเราก็ถูกตัดสินใจสิ่งที่มองเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกเพื่อป้องกันตัวเอง แต่คนที่ไม่ตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่เห็นภายนอกคบทุกคนอย่างที่เขาเป็นมันก็มี คนที่เข้าใจตัวตนของมุกก็มี”
       
       “บทเรียนที่ได้เลยคือเรื่องคน คนในวงการบันเทิงที่เข้ามาหาเราบางคนก็หวังดีบางคนก็ไม่หวังดี บางคนก็แสร้งทำหวังดี ซึ่งเราไม่เคยเจอไงมันหลากหลายรูปแบบจนเรารู้สึก โห...มีอย่างนี้ด้วยหรอ เขามาเอาเปรียบเราอย่างนี้ได้ด้วยหรอ มุกไม่ขอพูดแล้วกันว่าใคร อะไรที่มันไม่ดีไม่เป็นประโยชน์มุกก็ไม่อยากจะเก็บเอามาจำ มุกไม่รู้หรอกค่ะว่าใครจะคิดกับมุกยังไง แต่มุกคิดดี และให้ความรักกับทุกๆ คน
       
       "อีกอันที่เฮิร์ตหนักคือการที่เราต้องโดนตัดสินว่าเราเป็นคนแบบนี้เพราะอ่านแค่หัวข่าวหรือจากที่ได้ยินคนอื่นๆ พูดกันแล้วมาตัดสินตัวตนของมุก แต่มุกก็เข้าใจนะไม่ผิดหรอก แต่มันแย่ในความรู้สึกลึกๆ ของมุก มุกเองเปรียบตัวเองเป็นตัวแทนของพ่อและแม่ ใครมาว่าเราก็เหมือนมาว่าพ่อแม่เรา ที่มุกพยายามปฎิบัติดีทุกอย่างเพราะมุกอยากให้ทุกคนรู้ว่าพ่อแม่มุกดีขนาดไหนแต่ทำไมถึงมีแต่ข่าวลบๆ มันไม่แฟร์กับตัวมุกเลย”
       
       “โชคดีที่แม่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก มุกนั่งวิปัสนาตั้งแต่อายุ 15 ปี จนถึงวันนี้มุกนึกขอบคุณคนนั้นที่แนะนำแม่มุกทุกวันเลยค่ะคุณรู้มั้ยว่าคุณได้จุดประกายให้เด็กคนหนึ่งได้เข้าใจและเห็นถึงแสงธรรม แม่มุกสอนมุกมาตั้งแต่เล็กๆ ว่าต้องรู้จักการให้อภัย การให้เป็นสิ่งสำคัญอยากให้ใครรักเรา เราต้องรักเขาก่อนไปลามาไหว้อ่อนน้อมถ่อมตน ยิ่งสูงเท่าไหร่ยิ่งต้องทำตัวให้เล็กลงเท่านั้น ทุกอย่างมันเป็นแค่ชั่วคราว มุกทำแล้วมุกพยายามแล้วแต่ก็ได้แค่เท่านี้จริงๆ ข่าวอะไรที่ไม่ดีมันก็ยังมีออกมาเรื่อยๆ มุกคิดบวกเสมอไม่เคยคิดอะไรที่เป็นลบเลย มันเลยเป็นบทเรียนสอนมุกว่านี่แหละคือสัจธรรม นี่แหละคือชีวิต มันจะฝึกเป็นเครื่องมือให้มุกเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคตได้"
       
       “การที่เรามีชื่อเสียงโด่งดังถ้าจะประคองตัวให้รอดโดยที่ไม่มีครอบครัวคอยช่วยเหลือ มุกเองก็ยังมองไม่ออกว่ามันจะออกมาเป็นยังไง เพราะเวลาที่เราทุกข์จากเรื่องพวกนี้คุณแม่มุกก็จะคอยให้ธรรมะเสมอ มันทำให้มุกผ่านพ้นทุกๆ ช่วงที่เศร้ามาได้”
       
       “ตลอดเวลามุกพยายามจะเอาชนะตัวเอง มุกพยายามทำดีที่สุดเท่าที่มุกทำได้แล้ว นอกเหนือจากนั้นมันเป็นที่มุกไม่สามารถบังคับได้ นานาจิตตัง แล้วแต่คนจะคิดแต่มันก็ทำให้มุกเข้มแข็งมากขึ้น เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามาก ความผิดหวังทุกคนสามารถผิดหวังได้แต่ที่สำคัญเราต้องไม่ยอมแพ้ มุกรู้ว่าตรงนี้มันไม่ใช่ตัวตนของเราจริงๆ ถ้าเป็นตัวตนของมุกจริงๆ ทำแล้วมุกต้องแฮปปี้ มุกท้อนะแต่มุกไม่ยอมแพ้ที่จะค้นหาตัวเองต่อไปว่าอะไรคือไข่มุก ชุติมา มุกถามตัวเองมาตลอด 2 ปีว่ามุกอยากจะใช้ชีวิตแบบไหน ชีวิตที่มีแต่ความสุข มีแต่พลังหรือว่าชีวิตที่หดหู่มีแต่ความไม่สบายใจ"
       
       “มุกก็ใช้ชีวิตห่อเหี่ยวค้นหาตัวเองมาตลอด 2 ปี มันเคว้งมาก ไม่มีพลังในชีวิตเลย จนขึ้นปีที่ 3 มุกมีโอกาสมาได้ใกล้ชิดกับองค์กรต่างๆ บ้าง มุกก็แอบศึกษางานเขาว่าองค์กรเขามีอะไรบ้าง แล้วก็มาแอบเพ้อฝันว่าเราจะทำอะไรให้เขาได้บ้างรึเปล่า งานหลักของมุกตอนนี้อย่างแรกที่ทำคือสานต่อธุรกิจของทางบ้านค่ะ”
       
       “ที่บ้านก็ได้มอบธุรกิจบริษัทเครื่องกรองน้ำมาให้พี่ๆ และไข่มุกได้ดูแลต่อเป็นเจนเนอเรชั่นต่อไป มุกก็เข้ามาดูแลในส่วนของการตลาด ดูภาพลักษณ์ของสินค้าและความต้องการของลูกค้า ในเจนเนอเรชั่นมุกเรามองมุ่งเป้าไปที่คนรุ่นใหม่ การมีสุขภาพที่ดี ใช้ชีวิตอย่างมีระดับ อะไรก็ตามที่เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน ล้ำหน้าเทคโนโลยี โปรเจ็กต์ของเราก็คิดที่จะทำพลังงานทดแทนมากขึ้นในโรงงานของเรา”
       
       “งานอีกอย่างของมุกก็คือตอนนี้มุกกำลังทำสินค้าของตัวเองอยู่ค่ะ ร่วมกับไอซีซี ชื่อว่าเพิร์ล ออฟ สยาม เป็นสินค้าที่เกี่ยวกับสปาซึ่งมุกเล็งเห็นว่าปัจจุบันบ้านเรามีการส่งออกค่อนข้างที่จะเยอะ มันก็ถือเป็นโอกาสที่ดีค่ะ หน้าที่ของมุกตอนนี้ก็ดูแลทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคอนเซ็ปต์ ส่วนผสม ทุกอย่างเป็นไอเดียที่เกิดจากมุกหมดค่ะ แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังอยู่ในแค่ช่วงเริ่ม มุกตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะขายทั้งในประเทศไทยและส่งออกไปขายต่างประเทศด้วย”
       
       “และอีกงานหลักของมุกก็คือตอนนี้มุกเข้ามาดูแลเกี่ยวงานด้านภาพลักษณ์องค์กรให้กับทางสหพัฒนพิบูลย์ด้วย คือในสหพัฒฯกำไรแต่ละปีเขาก็จะมีการเอามาทำบุญ มุกมีหน้าที่คิดโปรเจ็กต์ให้กับทางสหพัฒฯว่าแต่ละปีจะทำบุญอย่างไรดีให้คุ้มค่ามากที่สุด รวมไปถึงจัดกิจกรรมในบริษัทเพื่อกระชับความสัมพันธ์ อย่างโปรเจ็กต์ล่าสุดที่มุกคิดตอนนี้ก็คือ คนดีศรีสหพัฒฯ ก็จะเป็นการประกวดขึ้นมาเพื่อสร้างกำลังใจในการทำงาน และเกิดการกระชับความสัมพันธ์กันขึ้น มันเป็นอะไรที่น่ารัก อย่างเช่นมาประกวดใครยิ้มสวยที่สุดในแผนก”
       
       “มุกเองยอมรับค่ะว่าประสบการณ์ตัวเองก็ยังน้อยนิด แต่โชคดีที่มีทีมงานที่ดีที่คอยช่วยสนับสนุนมุกตลอด มุกเองก็มองว่างานในวงการเป็นอะไรที่สนุกนะ แต่มุกอยากจะทดลองตัวเองในด้านอื่นดูบ้าง เพราะตั้งแต่จบมามุกไม่ได้ทำงานที่ใช้ความรู้ทางด้านที่มุกเรียนมาเลย มันเหมือนเราเรียนแล้วเสียเปล่า มุกว่าการมาทำงานตรงนี้มันทำให้มุกโตขึ้น การทำงานในวงการก็ทำให้มุกโตขึ้นเหมือนกันค่ะ แต่พอมาอยู่ตรงนี้ทุกอย่างเราต้องวางตัวใหม่ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ท้าทายมุกมากกว่า”
       
       “การทำงานในวงการกับการทำงานในองค์กรมันก็แตกต่างกันในระดับหนึ่ง การทำงานในวงการบันเทิงจบแล้วก็คือจบกัน แต่การทำงานแบบนี้เราต้องทำการบ้านเพิ่ม เราต้องมาคิดต่อว่าตอนนี้คู่แข่งของเราทำอะไรอยู่ตอนนี้ ต้องรีเสิร์ชตลอดเวลามันเป็นอะไรที่หนักกว่าเยอะมาก และบอกเลยว่าเงินที่ได้จากงานในวงการบันเทิงได้มากกว่าเยอะ แต่งานตรงนี้มันเป็นอะไรที่สนุก มันเหมือนเราได้ทดสอบอะไรบางอย่าง ไม่ว่ามุกจะทำอะไรมุกใช้ใจนำ มุกว่าวงการบันเทิงมันอาจจะไม่ใช่ตัวตนของมุกจริงๆ ตอนแรกมุกสับสนนะแต่ตอนนี้มุกมีคำตอบแล้วนั่นก็คือทำอะไรก็ได้ที่เรามีความสุข ทำแล้วมันมีไฟอยู่ในใจกับสิ่งนั้นๆ ที่เราทำ”
       
       “การที่เราได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ถือเป็นการค้นหาตัวเองที่ดีที่สุด ลองทำอะไรที่ออกจากกรอบเดิมๆ แล้วดูว่าเรามีความสุขกับมันมั้ย แล้วมุกก็ค้นพบแล้วว่าการได้ทำงานแบบนี้มันคือตัวตนของมุก มันจุดไฟในตัวมุกได้ มุกจะทำอะไรมุกไม่ได้ทำเพราะเงิน มุกเลือกทำเพราะมันมีคุณค่าทางจิตใจมุกมากกว่า”
       
       ฝันต่ออยากพัฒนาช่วยเหลือสังคมด้วยการรับหน้าที่เป็นคุณครู ทั้งยังหวังเข้าสู่แวดวงการเมืองเพื่อปฎิรูปการศึกษาและจริยธรรมให้กับเยาวชนอนาคตของชาติต่อไป
       
       "นอกจากทำธุรกิจแล้วมุกวางไว้ว่ามุกอยากจะเป็นคุณครู มุกอยากจะพัฒนาการศึกษาของไทย ด้วยข่าวของเยาวชนและสังคมในปัจจุบันเท่าที่มุกได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสตามที่ต่างๆ มันทำให้มุกคิดว่าเขาฟังเรา มุกจึงอยากไปทำหน้าที่ให้ความรู้กับเขา ทำให้หัวใจมันยิ้มได้เหมือนความรู้สึกตอนที่เราประกวด และในส่วนระบบการศึกษาเองมุกว่าเด็กไทยทำไมถึงท่องเยอะจัง เด็กไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัวเลยเพราะว่าเรียนๆ อย่างเดียว แล้วสุดท้ายสิ่งที่เรียนเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง สูตรฟิสิกซ์ที่เรียนตอนม.6 คืออะไร ได้เอามาใช้หรือเปล่า มุกว่าสิ่งที่เราต้องปลูกฝังคือเรื่องของศีลธรรมและจริยธรรมมากกว่า เพราะการที่เราปลูกฝังอะไรเขาตั้งแต่เล็กๆ มันทำง่าย"
       
       "อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นแรงปรารถนาคือมุกอยากลงเล่นการเมือง มุกอยากจะเข้าไปจัดการกับเรื่องของศีลธรรมและจริยธรรมกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาดูแลประเทศต่อไป มุกไม่อยากเห็นข่าวแย่ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์อย่างเช่นกระโดดตึกตายหนีรัก พบศพเด็ก 2 พันศพ มุกไม่เข้าใจไงว่าทำไมเขาถึงทำกันได้ และอีกอยางมุกอยากเข้าไปเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษา เด็กควรจะมีเวลามากขึ้นเพื่อที่เขาจะได้ค้นหาตัวเอง ให้เขาได้รู้จักตัวเองไม่ใช่รู้จักแต่ชีวะ เคมี คณิตศาสตร์ ซึ่งสุดท้ายแล้วไม่ได้ใช้เลย การที่คนคนหนึ่งจะเป็นบุคคลคุณภาพเราควรจะต้องเป็นคนที่คิดดี ทำดี พูดดี ย้อนมองทุกวันนี้เราอบรมเด็กกันยังไงบ้าง”
       
       “ทุกวันนี้เด็กหลงไหลไปตามวัตถุบ้างก็ติดเกมส์ เด็กไม่ได้ไปสร้างจิตนาการของตัวเอง เด็กขาดจินตนาการประเทศก็ไม่รอด มุกว่าทุกคนควรจะมีความเพ้อฝันอยู่ในตัวเอง แต่ไม่ใช่เพ้ออย่างเดียว เพ้อแล้วต้องลงมือทำด้วยนี่คือสูตรสำเร็จในความคิดของมุก มุกว่าเราอยากให้ประเทศเป็นยังไงต้องเริ่มจากที่ตัวเราเอง เราต้องเป็นผู้เริ่มลงมือทำด้วยตัวเองก่อน อย่าไปหวังรอจากใคร”


ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)