ซีอีโอโนเกียประกาศ 3 กลยุทธ์ในการรักษาตำแหน่งเดอะวินเนอร์ เตรียมเข้าอุดช่องโหว่ของประชาชนโลกที่มีโทรศัพท์มือถือใช้แต่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 1,500 ล้านราย หวังการสร้างประสบการณ์ใหม่ในการใช้งานโทรศัพท์
สตีเฟ่น อีลอป (Stephen Elop) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โนเกีย กล่าวในงาน Nokia Connection 2011 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ว่าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาโนเกียได้เดินหน้าประกาศกลยุทธ์ของปี 2011 เพื่อหวังจะให้ผู้ใช้งานได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น โดยจะเน้น 3 ข้อหลักคือ 1. การพัฒนาโครงสร้างองค์กรให้แก่ผู้บริหาร 2. พัฒนาสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Windows Phone 7 และ 3. เชื่อมต่อผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือ ภายใต้สโลแกนที่ว่า "Nokia Connecting People"
"ปัจจุบันมีประชากรกว่า 3,400 ล้านคนที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้ ประชากรกว่า 1,200 ล้านคนใช้โทรศัพท์เพื่อใช้ส่งข้อความสั้น (SMS) และกว่า 1,500 ล้านคนที่มีโทรศัพท์มือถือ แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงโมบายล์ อินเทอร์เน็ต"
ประชากรส่วนใหญ่ของกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์มือถือแต่ไม่เข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย, อินเดีย, จีน และบราซิล ซึ่งโนเกียพยายามปรับปรุงและพัฒนาโทรศัพท์มือถือเพื่อให้ผู้ใช้งานโทรศัพท์ได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ อีกทั้งยังได้มีการพัฒนาคุณ ความสามารถในการใช้งาน และราคาวางจำหน่าย ให้ผู้ใช้งานโทรศัพท์ในทุกระดับได้มีโอกาสใช้งานเท่าเทียมกัน และสามารถเข้าถึงกันได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
"ในช่วงเวลาที่ QWERTY โฟนจากคู่แข่งกำลังได้รับความนิยม โนเกียได้เปิดตัว Nokia C3 QWERTY โฟนที่สามารถแชต และใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กออกมาวางจำหน่ายราคาต่ำกว่า 165 เหรียญ (ประมาณ 5,000 บาท) ออกมาวางจำหน่าย ซึ่งจนถึงบัดนี้ C3 สามารถขายได้ 17 ล้านเครื่องทั่วโลก ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ต้องการ QWERTY โฟนในระดับล่างได้ดี"
** ไม่แคร์หากเสียแชมป์
แม้ในปัจจุบันสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และไอโอเอสกำลังร้อนแรงในตลาด ซึ่งมีหัวหอกใหญ่คือซัมซุง และแอปเปิล แต่โนเกียกลับไม่คิดจะเดินไปตามเกมส์ของตลาดด้วยเหตุผลที่ว่า "เรามั่นใจว่าของของเราดี"
แมรี่ แมคโดเวลล์ รองประธานฝ่ายบริหาร กลุ่มธุรกิจโทรศัพท์มือถือ บริษัทโนเกีย กล่าวว่า โนเกียไม่เคยคิดจะลงไปเล่นตามเกมส์ของตลาด สิ่งที่โนเกียจะทำต่อไปนี้คือการมุ่งพัฒนาสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ โฟน 7 ให้มีประสิทธิภาพที่สุด ก่อนจะส่งต่อไปยังมือผู้ใช้งาน รวมถึงการพัฒนาและปรับปรุงระบบปฏิบัติการซิมเบียนให้มีความสามารถเท่าเทียมระบบปฏิบัติการอื่น ก่อนจะเลิกผลิตและจำหน่ายในอีก 5 ปีข้างหน้า
"โนเกียจะไม่ทำสมาร์ทโฟนระบบปฏฺบัติการแอนดรอยด์ เรามั่นใจว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์ โฟนที่โนเกียกำลังพัฒนาอยู่นี้จะสามารถเอาชนะใจผู้บริโภคได้ในอีกไม่ช้า สำหรับในแถบเอเชียคาดการณ์ว่าวินโดวส์ โฟนจะวางจำหน่ายในปีหน้านี้"
ส่วนกระแสที่ว่าซัมซุงเตรียมขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตลาดโทรศัพท์มือถือโลก แทนโนเกียในไตรมาส 3 ที่จะถึงนี้ แมรี่กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวไม่มีความสำคัญใดๆ กับโนเกีย ซึ่งก็เป็นปกติของตลาดที่มักมีการแข่งขันกัน
"ขอแค่เราได้ทำสินค้าที่ดีที่สุด สามารถตอบโจทย์ และเข้าถึงการใช้งานของผู้บริโภคมากที่สุด นี่คือเป้าหมายของโนเกีย นวัตกรรม และการเชื่อมโยงผู้ใช้งานคือหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจของโนเกีย และเราก็กำลังจะแสดงให้คนทั่วโลกได้เห็น"
**โชว์มือถือ "2 ซิมเรียลไทม์"
ในงานเดียวกันนี้ โนเกียยังได้มีการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือที่รองรับการใช้งาน 2 ซิมในแบบเรียลไทม์อย่าง C2-03 และโทรศัพท์ S40 อีก 2 รุ่นคือ C2-02, C2-06
แมรี่กล่าวว่า โนเกีย C2-03 เป็นโทรศัพท์มือถือ 2 ซิมรุ่นที่ 3 ที่โนเกียนำออกวางจำหน่ายในระยะ 1 เดือนที่ผ่านมา โดยผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าส่วนตัวได้ถึง 5 ซิม พร้อมฟังก์ชั่นอีซี่ สแวป (Easy Swap) ที่ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนซิมการ์ดได้ในเวลาไม่กี่วินาทีโดยไม่ต้องปิดเครื่องหรือถอดแบตเตอรี
"ที่ผ่านมานั้น โทรศัพท์แบบ 2 ซิมจากโนเกียจะทำงานได้ทีละซิมเท่านั้น คือหากเปิดใช้อีกเบอร์นึงอยู่จะไม่สามารถใช้งานอีกเบอร์ได้ สำหรับโทรศัพท์แบบ 2 ซิมที่ออกมาในปีนี้จะรองรับการใช้งานในแบบเรียลไทม์ ผู้ใช้งานสามารถรับสาย-โทรออกได้ทั้ง 2 ซิมในเวลาเดียวกันเพียงกดปุ่มเลือกซิมการ์ดที่จะใช้"
สำหรับ Nokia C2-02 เป็นโทรศัพท์มือถือซิมเดียวที่มอบฟีเจอร์การทำงานที่คล้ายคลึงกัน พร้อมด้วยระบบรับข้อความอัตโนมัติ (push messaging) และระบบรับส่งข้อความส่วนตัว (IM) หลากหลายระบบ และรุ่นสุดท้ายคือ Nokia C2-06 ที่เรียบง่ายด้วยดีไซน์ แต่มีหลากหลายสีสันสดใสให้เลือก
โทรศัพท์ทั้ง 3 รุ่น จะมาพร้อมแผนที่โนเกียใหม่สำหรับระบบปฏิบัติการซีรี่ส์ 40 ซึ่งได้ติดตั้งแผนที่และสถานที่ที่น่าสนใจภายในประเทศไว้แล้วในเครื่อง ผู้ใช้งานสามารถดูเรียกดูแผนที่ได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านเทคโนโลยีบีบอีดข้อมูล (Data compressing) ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการใช้งานอินเทอร์เน็ต และสามารถดาวน์โหลดหน้าเว็บเพจได้เร็วยิ่งขึ้น มีกำหนดวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 105 เหรียญ (ราว 3,100 บาท)
Company Relate Link :
Nokia
ที่มา: manager.co.th