"เอสไอเอส" ยักษ์ค้าส่งไอทีข้ามชาติเปิดเกมรุกขยายการลงทุนสวนกระแสเศรษฐกิจ ตั้ง 2 บริษัทใหม่ "เอสไอเอส เวนเจอร์" ลุยลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายธุรกิจให้เข้มแข็ง ทั้งธุรกิจร้านค้าปลีกรวมถึงธุรกิจบริการ และ "คิวดิสท์" เพื่อขยายฐานธุรกิจขายมือถือ ประเดิมรับเป็นตัวแทนจำหน่ายพีดีเอโฟนของ "เอเซอร์" พร้อมเดินหน้าเจรจากับผู้ผลิตมือถืออีก 2 รายเพื่อสร้างตลาดใหม่ ขณะที่ธุรกิจไอทีไตรมาสแรกกำไรทรุดถ้วนหน้า
นายสมชัย สิทธิชัยศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาได้มีมติให้บริษัทลงทุนจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ 2 บริษัท คือบริษัท เอสไอเอส เวนเจอร์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท สำหรับลงทุนในบริษัทต่างๆ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องและซัพพอร์ตกับธุรกิจของเอสไอเอส ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปลงทุนในบริษัทค้าปลีกที่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของบริษัท รวมถึงธุรกิจบริการ เพราะปัจจุบันบริษัทก็ต้องมีการเอาต์ซอร์ซจ้างบริษัทรับงานด้านบริการอยู่แล้ว
"การเข้าไปร่วมลงทุนก็เพื่อที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการทำธุรกิจร่วมกัน เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น มากกว่าแค่เป็นคู่ค้าธุรกิจกันเท่านั้น เป็นการสร้างเครือข่ายธุรกิจให้เข้มแข็ง" นายสมชัยกล่าวและว่า
ส่วนบริษัทใหม่อีกแห่งคือบริษัท คิวดิสท์ จำกัด สำหรับบริษัทนี้จะเข้ามารองรับแผนการขยายธุรกิจด้านมือถือของบริษัท เพราะจากที่บริษัทมีประสบการณ์ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายสมาร์ทโฟนของ"เอชทีซี" ก็พบว่าตลาดมีการเติบโต แต่การทำตลาดสินค้าไอทีและมือถือก็มีความ แตกต่างกันค่อนข้างมาก
ประกอบกับล่าสุดบริษัทได้รับมอบหมายเป็นตัวแทนจำหน่ายพีดีเอโฟนของเอเซอร์ ซึ่งในส่วนของเอเซอร์เองก็ได้มีการปรับโครงสร้างโดยตั้งบริษัทใหม่มาเพื่อทำตลาดพีดีเอโฟนโดยเฉพาะ บริษัทจึงตัดสินใจตั้งบริษัทใหม่เพื่อมาเป็นตัวแทนจำหน่ายพีดีเอโฟนของเอเซอร์ซึ่งจะมีการเปิดตัวในวันที่ 28 พ.ค.นี้
นายสมชัยกล่าวว่า สำหรับพีดีเอโฟนของเอเซอร์ในช่วงแรกมี 2 รุ่น คือระดับราคา 14,900 บาท มี 2 ด้าน คือด้านหน้าจะเป็นโทรศัพท์ปกติ ด้านหลังจะเป็นพีดีเอโฟนที่ใช้ระบบสัมผัส ส่วนอีกรุ่นราคาอยู่ที่ 19,900 บาท จะเป็นรุ่น 2 ซิม และมีแผนจะนำเข้ามาอย่างต่อเนื่องซึ่งทั้งปีจะมีมากกว่า 10 รุ่น
นอกจากนี้ก็อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ผลิตมือถืออีก 2 ค่าย แต่ทั้งนี้บริษัทจะโฟกัสในตลาดสมาร์ทโฟนเป็นหลัก ไม่ลงไปในตลาดมือถือราคาต่ำ และในอนาคตก็มีแผนจะโอนย้ายในส่วนของแบรนด์ "เอชทีซี" มาอยู่ภายในบริษัทคิวดิสท์ด้วย ซึ่งเร็วๆ นี้จะมีการเปิดตัวเอชทีซีที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยจะเป็นการทำตลาดร่วมกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส เพราะแอนดรอยด์รุ่นนี้จะเน้นการใช้งานดาต้าเป็นหลัก
"คิวดิสท์จะทำหน้าที่ในการขยายพื้นที่เข้าไปในตลาดมือถืออย่างเต็มตัว โดยเฉพาะในตลาดพีดีเอโฟน หรือสมาร์ทโฟน ซึ่งถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นและมีโอกาสทางการตลาดอีกมาก" นาย สมชัยกล่าว
ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูล ผลประกอบการของบริษัทไอทีที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าส่วนใหญ่จะมีรายได้และกำไรสุทธิที่ลดลงถ้วนหน้า อาทิ บริษัทไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินงานไอที ซูเปอร์สโตร์ ไตรมาสแรกมีกำไรสุทธิ 22.19 ล้านบาท ลดลง 18.22 ล้านบาท หรือลดลง 45.08% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว เนื่องจากรายได้โดยรวมลดลง 221 ล้านบาทหรือ 14.77% ทำให้ไตรมาสแรกปี 2552 มีรายได้เพียง 1,220.03 ล้านบาท แม้ว่าจะมีการเปิดให้บริการสาขาใหม่ 3 สาขา
ขณะที่บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิลดลงถึง 97.88% โดยในไตรมาสแรกมีกำไรสุทธิเพียง 584,000 บาท ขณะที่รายได้จากการขาย ให้บริการที่ลดลงถึง 204.81 ล้านบาท
ที่มา: matichon.co.th