ที่ระบุว่า อินเทลกระทำละเมิดกฎหมายสหภาพยุโรป และส่งผลร้ายต่อผู้บริโภค และให้เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจทันที ขณะที่ ซีอีโอเอเอ็มดี ระบุผลการตัดสินครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เกิดการแข่งขันอย่างแท้จริง เชื่อผู้บริโภคในยุโรปจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้น ในราคาที่คุ้มค่า...
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2552 ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวที่ระบุว่า คณะกรรมาธิการยุโรป หรือ อีซี (European Commission) ตรวจพบความผิดของอินเทลฐานใช้ความเป็นผู้นำในตลาดไมโครโปรเซสเซอร์ x86 โดยไม่ถูกต้อง โดยอีซี ระบุว่า อินเทลทำร้ายผู้บริโภคในยุโรปจำนวนหลายล้านคน โดยกระทำการโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ปิดกั้นการเข้าสู่ตลาดชิปคอมพิวเตอร์ของคู่แข่งเป็นเวลาหลายปี พฤติกรรมละเมิดกฎหมายผูกขาดแห่งสหภาพยุโรปอย่างรุนแรงดังกล่าว ต้องไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป โดยมีหลักฐานชัดเจนว่าอินเทลปิดบังรายละเอียดเงื่อนไขบางอย่าง เกี่ยวกับการจ่ายเงินของอินเทล
รายงานข่าวแจ้งว่า คำตัดสินของคณะกรรมาธิการยุโรปสั่งให้อินเทล เปลี่ยนรูปแบบและวิธีการดำเนินธุรกิจทันที พร้อมชำระค่าปรับเป็นจำนวน 1.06 พันล้านยูโร (ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท) โดยค่าปรับนี้ถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับครั้งที่บริษัทไมโครซอฟท์โดนปรับเงินเป็นจำนวนประมาณ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในข้อหาเดียวกัน
รายงานข่าวแจ้งต่อว่า อีซีพบว่า อินเทลแอบคืนเงินทั้งหมด หรือ บางส่วนให้กับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องซื้อโพรเซสเซอร์ x86 ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดจากอินเทล อีกทั้งพบว่า อินเทลจ่ายเงินให้กับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ บริษัท มีเดีย แซ็ตเทิร์น โฮลดิ้ง (Media Saturn Holding) ตั้งแต่เดือนต.ค.2545 จนถึงเดือน ธ.ค.2550 ภายใต้เงื่อนไขว่า บริษัท มีเดีย แซ็ตเทิร์น โฮลดิ้ง ต้องจำหน่ายเฉพาะพีซีที่ใช้โพรเซสเซอร์ของอินเทลเท่านั้นในพื้นที่ที่บริษัท มีเดีย แซ็ตเทิร์น โฮลดิ้ง มีสำนักงานหรือสาขาตั้งอยู่
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า นอกจากนี้ อีซียังพบว่า อินเทล เข้าไปก้าวก่ายความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และบริษัทเอเอ็มดี โดยอินเทลจ่ายเงินพิเศษให้กับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ โดยเงินจำนวนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ กับอินเทล ภายใต้เงื่อนไขว่า ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต้องเลื่อนหรือยกเลิกการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีของเอเอ็มดี อย่างไรก็ตามอินเทลล้มเหลว ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับหน่วยงาน ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการผูกขาดทางการค้าว่า อินเทลดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส อยู่ภายใต้กฎหมาย และมุ่งสร้างประโยชน์ให้กับผู้บริโภคเป็นหลัก
นายเดิร์ค เมเยอร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัทเอเอ็มดี กล่าวว่า คำตัดสินของคณะกรรมาธิการยุโรปในครั้งนี้ คือ ก้าวสำคัญที่ทำให้เกิดการแข่งขันอย่างแท้จริง ในตลาดเอเอ็มดีคือ ผู้นำการพัฒนาเทคโนโลยี บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนโลกของอินเทล ให้เป็นโลกของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ด้าน นายทอม แม็คคอย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายกฎหมาย บริษัทเอเอ็มดี กล่าวว่า หลังสืบสวนข้อเท็จจริงโดยละเอียด คณะกรรมาธิการยุโรปจึงได้ข้อสรุปว่า อินเทลกระทำละเมิดกฎหมาย และทำร้ายผู้บริโภค คำตัดสินดังกล่าวเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่ออุตสาหกรรมชิปคอมพิวเตอร์ จากการยุติพฤติกรรมการผูกขาดของอินเทล ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาสินค้า จากนี้ไปผู้บริโภคในยุโรปจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้น และได้รับความคุ้มค่าสูงสุดจากเทคโนโลยี
ที่มา: thairath.co.th
