ผู้บริหาร “พีดี ครีเอชั่น” บริษัทบันเทิงม้ามืดมาแรง โต้เงินหนาเพราะฟอกเงิน มีนักการเมืองหนุนหลัง แย้มโปรเจกต์ผุดรายการทีวี ค่ายเพลง หนังสือ ปัดคิดเทียบชั้นเป็นคู่แข่งแกรมมี่ หรือทำตัวเป็น “อากู๋ 2” เพราะทำสิ่งที่แตกต่างกว่า ตั้งเป้ารายได้ปีหน้า 1,500 ล้านบาท มั่นใจได้แน่
เรียกว่าเป็นบริษัทบันเทิงม้ามืดมาแรง ที่ตอนนี้หลายบริษัทยักษ์ใหญ่กำลังจับตามองอย่างมากเลยทีเดียว สำหรับ “พีดี ครีเอชั่น” (PD CERATION) ภายใต้การบริหารของนักธุรกิจหนุ่ม “เอ็น วันธนบดี จิตตานุเคราะห์” ประธานกรรมการบริหาร(CEO) และ “อาร์ต สุภาพรรณ อัยราวงษ์” ประธานบริษัท ที่เพิ่งสร้างปรากฏการณ์ความฮือฮาครั้งใหญ่ไปเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา กับการเปิดตัว 2 คลื่นวิทยุน้องใหม่ “90 รวมมิตร เรดิโอ” และ “PYNK 98 FM” โดยทุ่มงบกว่า 60 ล้านบาทจัดฟรีคอนเสิร์ตสุดร้อนแรง ดึงตัวศิลปินระดับโลกอย่าง เอนริเก้ อิเกลเซียส(Enrique lglesias) รวมถึงซูเปอร์สตาร์แดนกิมจิ ซูเปอร์ จูเนียร์(Super Junior), ซีเอ็นบลู (CNBLUE) พร้อมทัพนักร้องซูเปอร์สตาร์เมืองไทย และศิลปินชื่อดังมาร่วมงานอย่างคับคั่ง
แม้งานนี้จะล่วงเลยผ่านมาหลายสัปดาห์แล้ว แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มีตามมายังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยงานนี้ผู้บริหารหนุ่มอย่าง “เอ็น วันธนบดี” ได้เปิดใจกับทีมข่าว ASTV บันเทิงผู้จัดการออนไลน์ถึงกระแสข่าวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกระแสที่ว่าบริษัทมีการฟอกเงิน หรือมีเส้นสายกับนักการเมือง ถึงได้มีเงินหนาที่จะจัดงานยิ่งใหญ่ขนาดนี้ขึ้นได้ หรือ “พีดีฯ” คิดทำตัวผงาดขึ้นมาเทียบชั้นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง “แกรมมี่” หลังเริ่มรุกด้านบันเทิงเกือบจะครบวงจร นอกจากนี้ผู้บริหารหนุ่มยังเผยถึงที่มาที่ไปของบริษัท ที่คนตั้งข้อสงสัยมาตลอดว่า เป็นใครมาจากไหน ถึงได้กลายเป็นม้ามืดมาแรงเช่นนี้
“บริษัท พีดี ครีเอชั่น ถูกตั้งขึ้นมาปีนี้เป็นปีที่ 5 แล้ว งานแรกก็เกี่ยวข้องกับงานออร์กาไนเซอร์ เริ่มจากการทำงานเว็ดดิ้งก่อน แล้วมันก็พัฒนามาจากทำฟรีๆ ก็เริ่มมีตังค์กินขนม แล้ววันนึงผู้ใหญ่ก็เมตตาและโยนงานมาให้ทำเป็นงานหลายล้าน มันก็ถึงเวลาที่จะต้องตั้งบริษัทเป็นเรื่องเป็นราว เราก็เลยทำออร์กาไนซ์ขึ้นมา พอเริ่มทำได้สักพักผมก็มองว่า บริษัทที่จดทะเบียนกับกรมการค้ามีไม่รู้กี่ร้อยบริษัท แต่เราเพิ่งเริ่มแล้วจะทำยังไงที่จะกระโดดขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ผมก็เลยมองว่าออร์กาไนเซอร์เจ้าที่มาก่อนเรา มันถูกพัฒนามาค่อนข้างเยอะแล้ว เราก็น่าจะต้องมีอะไรที่มันต่างกับชาวบ้านเขา”
“ดังนั้นผมก็เลยคิดว่า เราน่าจะมีมีเดียสำหรับตัวเองที่จะซัพพอร์ตงานอีเว้นท์ที่เราทำ ซัพพอร์ตลูกค้าเราเพื่อหาความต่างและสร้างจุดเปลี่ยน นั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มพัฒนามาได้สัก 3 ปีแล้ว สำหรับงานวิทยุ งานทีวี ก็ถูกวางมาเรื่อยๆ จนเมื่อประมาณต้นปีเราก็คิดว่าพร้อมแล้วในส่วนของตัววิทยุ ก็เริ่มมองหาคลื่น เริ่มคุยกับผู้ใหญ่ พร้อมกับวางเรื่องของตัวทีวีด้วย เราตั้งใจว่าปีหน้าจะทำทีวีเต็มตัว หลังจากที่ได้ลองทำโครงการเฉลิมพระเกียรติ คนไทยหัวใจภักดี ไปแล้ว ซึ่งปีหน้าก็น่าจะได้ทำรายการทีวีเต็มตัวครับ”
“แต่จริงๆ วิทยุ 2 คลื่นนี้ก็ตั้งใจจะทำปีหน้าเหมือนกัน แต่เผอิญผู้ใหญ่เห็นว่าศักยภาพได้ พอวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมาผู้ใหญ่ก็เลยโทรมาบอกว่า เรื่องคลื่นวิทยุเรียบร้อยแล้วมาทำได้เลย ให้ทำวันที่ 1 สิงหาคมนี้เลย นั่นคือผมรู้เรื่องวันที่ 26 กรกฎาคมนะ(หัวเราะ) แต่โชคดีว่ามันถูกคิดและถูกเตรียมไว้ประมาณนึงแล้ว แต่ช่วงแรกๆ มันก็ฉุกละหุกสนุกสนานกันพอสมควร แต่ผมว่าทุกอย่างมันมาพร้อมกับโอกาสนะครับ คือพอวิทยุมันมาในจังหวะที่มันไม่ได้มีอะไรมาก เราก็มีโอกาสได้ล้างคลื่นเปลี่ยนหูคนฟังอยู่พักนึง ได้ใส่อะไรที่เราอยากทำมา”
“แต่ต้องบอกว่าในส่วนของแกนกลางทั้งหมดของพีดี ครีเอชั่นจะมีอีเว้นท์อยู่ตรงกลาง เรามีธุรกิจอยู่หลายอย่าง เรามี พีดี พับลิชชิ่ง ที่ทำหนังสือ เรามี พีดี โมเดล ทำในส่วนของตัวโมเดล อย่างนางแบบที่เราส่งไปให้ของรีเจนซี่ก็ไม่มีใครรู้ ซึ่งนี่ก็คือน้องที่เราเอามา แล้วก็มี พีดี เทรนนิ่ง เรามีคอร์สอบรมที่พัฒนาขึ้นมาจากพวกองค์กรใหญ่ๆ อย่าง AIA, IBM, หน่วยงานราชการ ข้ามมาอีกฝั่งนึงเราก็จะมี พีดี เทเลวิชั่น มี พีดี มิวสิค ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้ แล้วก็มี พีดี เรดิโอ นี่คือหลักๆ ที่ทำอยู่ตอนนี้”
“ทีนี้ในส่วนของตัวพีดี เรดิโอที่มันมีขึ้นมา ก็ถูกนำมาซัพพอร์ตงานอีเว้นท์ที่ทำอยู่ รวมถึงตัวกิจกรรมอื่นๆ ของบริษัททั้งหมดเลย ซึ่งอีเว้นท์ที่ทำอยู่สัดส่วน 100% มันเป็นงานราชการซะ 30% เป็นงานที่เราครีเอทขึ้นเองอีก 30% ที่เหลือเป็นลูกค้าเอกชน เพราะฉะนั้นงานของเรามันต้องใช้มีเดีย ที่ผ่านมาเราก็ซื้อของชาวบ้านเขาอยู่แล้วทุกเดือน เดือนนึงตั้งหลายล้าน ผมก็เลยคิดว่าแทนที่เราจะไปซื้อของชาวบ้านเขา เราก็เอามาทำเองดีกว่า ผมก็เลยตัดสินใจทำวิทยุเพราะมันมีแต่ได้กับได้ในเรื่องของการซัพพอร์ตธุรกิจ รวมไปถึงความพอใจที่เราสามารถเพิ่มให้ลูกค้าได้”
“แต่ด้วยคาแรคเตอร์ส่วนใหญ่ที่ผมทำ คือสไตล์ของพีดีทุกคนจะพูดว่างานเราจะต่าง งานเราจะเนี้ยบ และที่สำคัญถ้าไม่ทอล์กไม่ทำ นั่นคือสไตล์ของเรา เพราะฉะนั้นเมื่อมาทำวิทยุผมเชื่อในเรื่องของผลงานที่ดี ถ้าผลงานดีเดี๋ยวเงินก็ไหลมา เพราะฉะนั้นวัตถุประสงค์และความตั้งใจของผมและทีม ก็คือมาปลุกตลาดวิทยุ และผมมองว่าวิทยุวันนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว วิทยุวันนี้มันต้องทำหน้าที่มากกว่าการเปิดเพลง มากกว่าการขายของ เพราะจริงๆ แล้ววิทยุมันใกล้คนมากกว่าทีวี มันสื่อสารกันได้ผ่านดีเจ อยู่ที่ว่าใครจะทำให้มันโตขึ้นมาและสร้างความต่างขึ้นมา”
“ฉะนั้น 2 คลื่นของเรามันจะเป็นวิทยุที่หน้าตามันจะเหมือนทีวีบายพาส มันจะเป็นวิทยุที่บางครั้งจะหวือหวา มีกิจกรรมต่างๆ ที่เราจะเอามาใส่ในวิทยุ เราเริ่มจากคนฟังเป็นหลัก ทุกอย่างมาจากผลรีเสิร์ชแล้วก็วิจัยกันมาก่อน เพราะฉะนั้นเราก็จะได้รู้ว่าเขาอยากได้อะไร อย่าง PYNK 98 FM เป็นคลื่นสำหรับเด็กวัยรุ่น เราจะมีกิจกรรม ปิ๊งค์ ข้ามโลก คือตลอด 12 เดือนเราไปข้ามโลกกันทุกเดือน อันแรกเราจะไปดู เลดี้ กาก้า ที่เมดิสัน สแควร์กัน รวมถึงตัวกิจกรรมอื่นๆ ที่จะมีอีกหลากหลาย อย่างจะมี กู๊ดมอร์นิ่ง คิส ตอนเช้าเราก็จะมีเสียงจุ๊บๆ ทายกันว่าเสียงนี้ของใคร สมมติทายถูกว่าเป็นน้องเก้า(จิรายุ ละอองมณี) ตอนเช้าน้องเก้าก็จะไปทำกับข้าวให้กิน จะไปหิ้วกระเป๋า ขับรถไปส่งที่โรงเรียน หิ้วกระเป๋าไปส่งถึงห้องให้กรี๊ดกันทั้งโรงเรียน นี่คือตัวอย่างกิจกรรมนึงที่จะสร้างสีสันให้คลื่นตลอดเวลา”
“ในส่วนของคลื่น 90 รวมมิตร เรดิโอ ก็จะเป็นคลื่นสำหรับผู้ใหญ่หน่อย อายุ 25 ขึ้นไป ในส่วนของดีเจก็จะมีความหลากหลาย อย่างที่เราเปิดไปแล้วแน่ๆ ก็คือ รวมมิตร เลิฟๆ คู่แรกจะเป็นน้องเมย์ 2 เมย์ คือ เมย์ พิชญ์นาฎ สาขากร กับ เมย์ เฟื่องอารมย์ ตอนบ่ายก็เป็น รวมมิตร ของสด ก็จะมีพี่หมึก วิโรจน์ ควันธรรม ตอนเย็นๆ เราก็จะมีช่วง รวมมิตร แมนๆ เราก็ได้น้องแทค ภรัญญู โรจนวุฒิธรรม และ น้องโน้ต ธวัช ทัศนาพลพินิจ ซึ่งดีเจก็จะถูกเปลี่ยนไปอย่างนี้เรื่อยๆ อีก 2-3 เดือนข้างหน้าอาจจะเป็น น้องหมาก ปริญ สุภารัตน์ กับ น้องณเดชน์ คูกิมิยะ ก็ได้ นี่คือสิ่งที่มันจะเกิดและสร้างสีสันไปเรื่อยๆ”
“แต่อยากจะบอกว่ากิจกรรมต่อจากนี้จะยิ่งใหญ่กว่าที่ผ่านไปหลายเท่านัก อย่างที่จะเปิดเร็วๆ นี้คือ สยาม มิวสิค รวมมิตร เฟสติวัล คือเราจะทำคอนเสิร์ต 9 ท่า ที่เข้าท่าที่สุดในประเทศไทย ก็คือท่าน้ำทั้งหลายใหญ่ๆ อย่างท่าสะพานพุทธ ท่าช้าง เราก็จะมีลูกทุ่ง มีแจ๊ส มีป๊อบแยกกันไปแต่ละท่าของใครของมัน หรือแม้แต่ตัวคลื่น ปิ๊งค์ เองก็ตาม เดี๋ยวเราก็จะมีงานคอนเสิร์ตใหญ่อีกตัวนึง ที่เชื่อว่าเปิดไปแล้วยิ่งใหญ่แน่นอน ซึ่งตอนนี้ผมกำลังดิวกับ เลดี้ กาก้า อยู่ คือเขาไม่มาเอเชียแน่ๆ เพราะเขาทำ World Tour แล้วจะไปเสร็จสิ้นที่แคนาดา ทีนี้เราก็กำลังทำทุกวิถีทางให้เป็น Excusive World Tour คือตรงมาที่เอเชียมาที่ประเทศไทยที่เดียว นั่นคือคาแรคเตอร์ของเรา”
แง้มเงินค่าตัวดาราที่มาเป็นดีเจรวมกันเป็นตัวเลข 7 หลัก พร้อมเผยโปรเจกต์รายการทีวี 4-5 รายการ กำลังรอทางสถานีอนุมัติเวลา
“ในส่วนของค่าตัวดาราที่มาเป็นดีเจงบรวมๆ กัน 7 หลักได้ครับ ส่วนใหญ่แล้วถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะ 5-6 หลัก แต่แน่นอนมันแพงกว่าปกติ เพราะดีเจปกติเขาไม่ได้เงินเยอะขนาดนี้ จริงๆ ต้องบอกว่าน้องๆ ทีมงานเดินมาถามผมว่าอยากทำแบบนี้ แต่ว่าต้องเจ๊งแน่เลย เพราะปกติดีเจเขาอยู่เท่านี้ คอร์สยูนิตต่อชั่วโมงมันคือเท่านี้ ผมก็เลยบอกว่าถ้าเราขายแบบนี้ เราคงทำแบบนี้ไม่ได้ แต่ถ้าอยากได้ 2 เมย์จริงๆ ต้องทำวิธีขาย ต้องขายแบบนั้นแบบนี้นะ ซึ่งวิธีขายเราจะมีวิธีการที่แปลกขึ้น พอเอเจนซี่เห็นก็บอกว่ามิน่าล่ะถึงจ้างเขามา เขาก็จะกล้าจ่ายแพงขึ้นให้เราได้ เราก็จะได้อะไรใหม่ๆ ขึ้นมา”
“เราต้องเปลี่ยนดีเจทุกๆ 3 เดือนอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็มาทำให้ครับ เพราะว่าจริงๆ ก็คือเรตค่าจ้าง ก็เหมือนเราจ้างคุณทำอีเว้นท์ เพียงแต่ว่ามันเหมารวมหน่อย ผมจ้างคุณทำอีเว้นท์ 90 วันติดกัน เพราะฉะนั้นก็ช่วยลดให้เรานิดนึง แต่เรตก็ไม่ธรรมดา แต่เรตตรงนี้ไม่ได้รวมในงบในการทำวิทยุ 250 ล้านนะ อันนี้เราถือว่าเป็นต้นทุนสินค้า สมมติวิทยุคือสินค้า นี่ก็เป็นเงินที่ต้องมากลบต้นทุน มันต้องมีรายได้มากลบอยู่แล้ว งบลงทุน 250 ล้านถ้าแยกออกมาก็คือ 100 นึงเป็นส่วนของเทคนิค อีก 150 เป็นเรื่องของการทำพีอาร์ แล้วถ้าสมมติมันจะไปอุดรอยรั่ว สมมติบางโปรเจกต์ที่สปอนเซอร์ไม่เต็ม เราก็เอาตรงนี้ไปใส่ แต่ว่าในทุกกิจกรรมที่เราทำ เราคำนวณมาแล้ว เผอิญผมโชคดีว่าผมเป็นบันเทิง พาร์ทเนอร์ผมเป็นการเงิน เขาก็จะคิดให้เสร็จ แต่ต้องขายให้ได้เท่านี้นะ ขายไม่ได้เท่านี้ไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นเราก็จะรู้ว่าถ้าเราขายได้เท่านี้ เราต้องทำยังไง”
“ส่วนวิธีเลือกดีเจของเราจริงๆ คอนเซ็ปต์มันถูกจัดไว้แล้ว อย่าง รวมมิตร คิดบวก ฉะนั้นช่วงเช้าเราก็จะเป็นคนที่มีมุมมองบวก มีอะไรที่คิดบวก พอ รวมมิตร เลิฟๆ เป็นช่วงเช้าที่สดใส เป็นคู่เพื่อนซี้ คู่พี่น้อง คู่แฟน อย่าง ยำรวมมิตร ปากไม่จัดอย่ามา ปากไม่หมาอย่าให้เห็น หรือ รวมมิตร แมนๆ ก็ต้องเป็นผู้ชายแมนๆ วันนี้ทุกคนอาจจะติดภาพว่าเป็น แทค กับ โน้ต ผู้ชายกวนๆ ห่ามๆ แต่บางทีอาจจะเป็นผู้ชายซอพท์ๆ นุ่มๆ โรแมนติกก็ได้ แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกในต้นปีหน้า เราจะเอาคุณอาดำรง พุฒตาล มาจัดคู่สร้างคู่สมภาควิทยุ แล้วมันก็จะมีช่วงที่เป็นทอล์กโชว์ ก็จะมีคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมานั่งพูดกัน”
“สำหรับคุณอาดำรงก็ทาบทามกันนานเป็นเดือนเหมือนกันนะครับ(หัวเราะ) แต่จริงๆ แล้ววันที่เราเดินไปหาคุณอา แล้วก็บอกว่าคุณอาครับพวกเราเป็นแฟนคลับคุณอา จริงๆ แล้วรายการของคุณอามันไม่ใช่รายการคู่สร้างคู่สมเหมือนชื่อ แต่มันคือรายการที่สร้างความบาลานซ์ให้กับสังคม วันนี้สังคมอยากได้อะไรอย่างนี้ แล้วถ้าเราหาใครสักคนที่มาพูดตรงนี้ได้กลมกล่อม ก็ต้องเป็นคุณอา ไม่ว่าจะด้วยประสบการณ์หรืออะไรคุณอามีทุกอย่าง แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าไม่เหมือนกับ Club Friday ของพี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) นะครับ ไม่เหมือนกัน(หัวเราะ) มันจะอีกมุมนึง เพราะคุณอาดำรงคงไปตอบคำถามเหมือนพี่อ้อย (นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล)ไม่ได้ มันจะไม่ใช่แง่ความรัก แต่เป็นเรื่องของชีวิตที่โตขึ้น ที่หลากหลาย เป็นประสบการณ์เป็นมุมมองของผู้ใหญ่คนหนึ่ง ที่มาแชร์กับลูกๆ หลานๆ น้องๆ เพื่อนๆ”
“ที่สำคัญผมว่าอีกหน่อยวงการบันเทิงก็คงต้องพูดเรื่องนี้กันบ้าง อีกหน่อยมันจะเป็นเจนเนอร์เรชั่นของคนสูงอายุ ถัดจากนี้อีกไม่เกิน 5 ปีผู้สูงอายุจะครองโลก คอนเซ็ปต์ของผมเหมือนตอนทำ พีดี มิวสิค ผมบอกเลยว่าอย่าเอาศิลปินที่มาดังแค่ 7 วันแล้วหาย คอนเซ็ปต์ผมอยากทำแบบศิลปินเมืองนอก ที่ยิ่งอยู่ยิ่งเก่ง ยิ่งอยู่ยิ่งแพง ไม่เหมือนบ้านเรายิ่งอยู่ยิ่งถูก ก็เลยมีความรู้สึกคนแก่มีอะไรหลายๆ อย่างที่มันน่าจะไปสร้างแรงบันดาลใจ สร้างประสบการณ์ สร้างมูลค่าต่อให้กับคนอย่างรุ่นเราๆ ได้ ผมไม่ได้บอกว่าคุณอาแก่นะครับ แต่คุณอาเก๋า คุณอามีกึ๋น ซึ่งเราก็จะมีแบบนี้ แล้วเดี๋ยวเราก็มีคนอื่นอีก”
“ถามว่าการสร้างความแตกต่างจะดูเป็นการเสี่ยงไปไหม แน่นอนการทำงานทุกอย่างมันต้องมีความเสี่ยง แต่ผมคิดว่าถ้าวันนี้เรายังมีเงินเดือนจ่ายพนักงานอยู่ บริษัทยังอยู่ได้อีก 5 ปีทำไมเราไม่ลองล่ะ มันก็เป็นประสบการณ์ ความเสี่ยงก็เหมือนกัน เราหาข้อมูลมาแล้ว ประเมินความเสี่ยงแล้ว คือทุกโปรเจกต์ผมทำเหมือนแบงค์เลยครับ พอดีพาร์ทเนอร์ของผมคนนี้มาจากแบงค์ เราก็จะมีการประเมินความเสี่ยงทุกอย่าง แล้วที่เหลือเรียกว่าค่าประสบการณ์ แล้วเดือนหน้าผมจะเปิดตัวพีดี เทเลวิชั่น ก็จะมีความแปลกๆ ใหม่ๆ เป็นรายการบันเทิงหลายรูปแบบเลย มีอยู่ประมาณ 4-5 รายการ จะเป็นวาไรตี้ ทอล์กโชว์ เกมส์โชว์ มีครบ”
“เรื่องช่องได้เรียบร้อยหมดแล้วครับ แต่ตอนนี้ยังพูดไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันเรียบร้อยก่อน เพราะตอนนี้ผังมันยังไม่ออก อะไรมันก็เปลี่ยนได้เสมอ แต่เป็นฟรีทีวีครับ มันก็จะมีอะไรที่สนุกๆ แรงๆ มันส์ๆ และที่สำคัญคนอื่นไม่ทำ ถามว่าในโลกใบนี้มันมีอะไรที่ 100% บ้าง มีอะไรที่มันถาวรบ้าง พ่อแม่อยู่กับเรามาตลอดชีวิตยังไม่อยู่กับเราจนวันสุดท้ายของชีวิตเลย เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรไม่เป็นความเสี่ยงครับ เพียงแต่ว่าเราประเมินมันให้เต็มที่ และวันนึงถ้ามันถึงจุดตรงนั้นเราก็ต้องรับมันให้ได้ จะบอกว่ามาถึงตรงนี้ไม่มีงานพลาดเลยก็ไม่ใช่ ครึ่งๆ เลยครับ แต่บางทีมันมีสูงมีต่ำ งานที่เฟลมันก็มี แต่ไม่เคยรู้สึกท้อแท้ครับ โชคดีว่าไอ้ที่ล้มเหลวไปมันต่อยอดให้มาถึงทุกวันนี้ ทำให้รู้ว่าเดินอย่างนี้มันผิดเพราะอย่างนี้ๆ ที่สร้างให้เห็นในวันนี้ได้เพราะมันเคยล้ม เคยพลาดมาก่อน เราก็อุดจุดที่ผิดพลาดไป”
“กลัวคนมองว่าใช้เงินซื้อเวลาในการทำรายการไหม (หัวเราะ) ทุกอย่างต้องเอาเงินไปซื้อครับ ไม่มีค่าเวลาไหนที่ช่องไหนจะให้เราฟรี ไม่หรอกครับ พอหลังจากที่เปิดผังรายการออกมาและมีชื่อเราจริงๆ เปิดรูปแบบรายการมา คนก็จะรู้ว่าทำไมช่องให้โอกาสให้เราลองทำดู เพราะมันเป็นอะไรที่แปลกและใหม่ แต่ถ้ามันไม่ประสบความสำเร็จคนที่รับคนแรกคือผม ช่องก็คือเรตติ้ง เพราะฉะนั้นอย่างแรกที่คนจะเห็นก็คือมันแปลกช่องจึงให้โอกาสทำ”
“ในส่วนเรื่องเส้นสายนี่ไม่มีเลยจริงๆ สาบานได้ เรามาจากพี่น้องสองคนช่วยกันทำงาน โตมาจากผลงานจริงๆ แล้วก็ผู้ใหญ่เมตตา ไม่ถึงกับต้องมีเส้นคนโน้นคนนี้ ทุกวันนี้ก็ยังส่งผลงานอยู่ ส่งไปก็ยังโดนด่ากลับมาอยู่ แล้วก็ส่งกลับไปใหม่ แต่มันอยู่ที่การเตรียมการมากกว่า ผมคิดมานานแล้วว่าอยากทำทีวี ผมก็เตรียมตัวมาเป็นปีในเรื่องของการเตรียมงานนำเสนอ นั่งดูทีวีว่าช่องนี้เขาเป็นยังไง เขาขาดอะไร เราอยากเติมอะไร ศึกษานโยบายช่องว่านโยบายช่องเขาจะทำอะไร ผู้บริหารคนนี้เขาคิดอะไรยังไง เราก็ทำเข้าไป”
“ผมเชื่ออย่างนึงว่าก่อนที่เราจะขายสินค้าอะไรได้ ขายตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าคุณขายตัวเองกับคนที่เราคุยได้ คุณจะขายอะไรก็ได้เพราะเขาเชื่อใจคุณละ คนเราซื้อของกับคนที่เราเชื่อใจง่ายกว่า เหมือนกับวันนี้ก่อนที่ผมจะไปขาย ผมก็จะต้องรู้จักเขาก่อน ช่องมีนโยบายอะไร ตรงไหนที่ในเรตติ้งไม่ดี วิเคราะห์มาเสร็จเรียบร้อย จุดดีจุดด้อยวางการตลาดมาหมด จนเขาเห็นถึงความตั้งใจ พอช่องเขาอ่านก็เห็นว่ามันมีการหาข้อมูล มันมีการทำรีเสิร์ชมาแล้ว เพราะฉะนั้นโอกาสที่เรตติ้งมันจะตกมันก็น่าจะน้อย ในเมื่อมันแปลกเด็กมันตั้งใจทำ ผมเดานะว่าเขาคงคิดงั้นก็ให้มันลองทำดูแล้วกัน น่าจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า โธ่ของผม 4 รายการทำเป็นตื่นเต้น เห็นคนอื่นมีเยอะแยะ มีตั้งหลายรายการ”
“ผมมองว่ามันน่าจะเป็นความต่างที่เราให้กับช่องมากกว่า สิ่งที่เรานำเสนอให้กับช่อง หรือบางรายการอาจจะเป็นรายการที่ไม่ได้มีความต่างอะไรมากมาย แต่มันคือนโยบายช่อง ช่องอยากได้แบบนี้เราก็ทำให้กับช่อง แล้วช่องก็โอเคให้เวลา ตอนนี้เตรียมงานทุกอย่างพร้อมหมดแล้วครับ รอแค่ถ้าผู้ใหญ่เมตตาก็จะมีโอกาสได้ทำ ซึ่งถ้าช่องอนุมัติก็เปิดตัวพร้อมกันเลย 4-5 รายการ”
โต้เป็นบริษัทฟอกเงิน หรือมีนักการเมืองคอยหนุนอยู่เบื้องหลัง แจงเงินส่วนใหญ่มาจากสปอนเซอร์ และการทำอีเว้นท์เป็นหลัก
“จริงๆ เงินหลักๆ ก็มาจากสปอนเซอร์แหละครับ แต่ว่าวิธีการขายตอนนี้มันเปลี่ยนไป คือถ้าวันนี้ผมมีแต่วิทยุผมคงไม่กล้าทำ แต่วันนี้ผมมีอีเว้นท์ มีทีวี มีพับลิชชิ่ง ทุกอย่างมันซัพพอร์ตลูกค้า เวลาที่เราเดินไปหาลูกค้า มันไม่ใช่แค่เสิร์ฟวิทยุให้ลูกค้า แต่ยังมีทีวี มีอีเว้นท์ให้ลูกค้าและมันสามารถใช้ได้จริงๆ แล้วลูกค้าก็จะมีแคมเปญจริงๆ ซึ่งผมก็ทำอีเว้นท์อยู่แล้ว อย่างซัมเมอร์ปกติลูกค้าก็จะมาจ้างผมอยู่แล้ว ซึ่งแทนที่จะจ้างฟรีๆ ก็เอาเงินก้อนนั้นมาทำตรงนี้ ก็จะได้ทั้งอีเว้นท์ ได้ทั้งคอนเสิร์ตกลับไปทำโปรโมชั่นได้ด้วย นี่คือวิธีคิดวิธีขายที่มันจะต่างไปจากทุกครั้ง”
ที่มา: manager.co.th