"เอสไอเอส" สวนกระแสวิกฤตเศรษฐกิจ เดินหน้าขยายการลงทุนรับทีมขายเพิ่มอีกครึ่งร้อย ลุยเปิดสำนักงานสาขาคุมเหนือ-อีสาน-ใต้ รับแผนขยายฐานตลาดต่างจังหวัดเต็มสตีม รับสภาพยอดขายไม่วิ่ง เน้นขายสินค้ามาร์จิ้นดีหวังดันตัวเลขกำไรให้เติบโต เดินหน้าเสริมทัพกลุ่มสินค้า "ซีเคียวริตี้" แบบครบไลน์ ขณะที่สมาร์ทโฟน "เอชทีซี" ยังมาแรง เตรียมส่งมือถือ "แอนดรอยด์" ลงตลาดต้นเดือน พ.ค.นี้
นายสมชัย สิทธิชัยศรีชาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด ค้าส่งไอทีรายใหญ่ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ด้วย สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจโลก แถมยังมีปัญหาการเมืองในประเทศสำทับเข้ามาอีก ทำให้ปีนี้บริษัทไม่ได้คาดหวังการเติบโตของรายได้มากนัก เพียงแค่รักษาระดับยอดขายเท่ากับปีที่ผ่านมา แต่จะเน้นสร้างการเติบโตของกำไรมากกว่า ดังนั้นจึงต้องเน้นการทำตลาดในกลุ่มสินค้าที่มีมาร์จิ้นดี รวมทั้งการขยายตลาดทั้งในแง่ของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และในพื้นที่ใหม่ๆ ที่บริษัท ยังไม่ได้เข้าไปอย่างเต็มที่ เช่น ในตลาดต่างจังหวัด สำหรับในปี 2551 เอสไอเอส มีรายได้อยู่ที่ 12,087 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 206 ล้านบาท
"ปีนี้บริษัทจะลงทุนเพื่อขยายตลาดต่างจังหวัดอย่างเต็มที่ จากเดิมที่บริษัททำตลาดต่างจังหวัดอยู่แล้ว แต่ยอดขายยังไม่มากจึงไม่ได้มีการลงทุนอะไร แต่ที่ผ่านมา ผู้ผลิตสินค้าต่างเห็นแนวโน้มการเติบโตของตลาดต่างจังหวัด จึงสนับสนุนให้บริษัทเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าคุ้มค่าการลงทุน บริษัทจึงมีแผนลงทุนเปิดสำนักงานสาขาในต่างจังหวัด เป็นส่วนของสำนักงานขายและบริการ จากเดิมที่บริษัทจะมีเซลส์ดูแลในต่างจังหวัดเช่นกัน แต่จะเป็นลักษณะให้ทำงานที่บ้าน" นายสมชัยกล่าวและว่า
สำนักงานสาขาแรกจะเปิดที่เชียงใหม่คาดว่าจะเปิดในเดือนพฤษภาคมนี้ พร้อมกับการรับพนักงานเพิ่มจากเดิมที่มีเซลส์ดูแลอยู่แค่ 2 คน ก็จะเพิ่มเป็น 10 คน จะมีในส่วนของทีมงานและฝ่ายเซอร์วิส เพื่อให้บริการลูกค้าในจังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่ภาคเหนือ เนื่องจากมีสินค้าหลายๆ ตัวที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวต้องการให้ทำเรื่องบริการด้วย
นายสมชัยกล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีโครงการจะเปิดสาขาที่ภาคอีสานและภาคใต้ต่อ ถือว่าจะเป็นการลงทุนในภาวะวิกฤตเพื่อขยายโอกาสในตลาดใหม่ๆ แต่ก็เป็นการลงทุนไม่มากเพราะสำนักงานก็เป็นการเช่า ที่มีการลงทุนมากจะหนักไปที่คน ซึ่งปีนี้บริษัทมีแผนเพิ่มบุคลากรทั้งหมด 50 คน เพราะมองว่าในธุรกิจไอทียังมีโอกาสทางธุรกิจอีกมาก ช่วงนี้ก็เป็นจังหวะที่ดีทำให้รับพนักงานได้ง่ายขึ้น เพราะที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องการหาคนค่อนข้างยาก
"ตลาดไอทียังมีหลายๆ เซ็กเตอร์ที่ยังมีการเติบโตที่ดี เช่น ในส่วนของตลาดซีเคียวริตี้ ดังนั้นจากเดิมที่บริษัทเป็นตัวแทนทำตลาดเฉพาะสินค้าของฟอร์ติเน็ต ซึ่งจะตอบสนองได้เฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางเท่านั้น ในปีนี้จึงได้หาสินค้ามาทำตลาดเพิ่มอีก 2 แบรนด์ คือ วอชการ์ด สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับเอสเอ็มอี และจูนิเปอร์ จะเป็นโซลูชั่นสำหรับคอร์ปอเรตขนาดใหญ่เพื่อให้มีสินค้าครบไลน์"
นอกจากนี้ได้วางแผนเพื่อทำตลาดอุปกรณ์ซีเคียวริตี้ ประเภทกล้องวงจรปิด ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังได้รับความสนใจมาก โดยอุปกรณ์ที่บริษัทจะนำเข้ามาทำตลาดจะเป็นระบบดิจิทัลทั้งหมด ทำให้สามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่า คาดว่าจะเริ่มทำตลาดได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
นายสมชัยกล่าวต่อว่า ในกลุ่มสินค้าสมาร์ทโฟนที่เอสไอเอสเป็นตัวแทนจำหน่ายของ "เอชทีซี" นั้นถือว่าเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่มีบทบาทสำคัญ เพราะมีการเติบโตที่ดี และในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้ก็จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ "แอนดรอยด์" ของกูเกิล จุดเด่นของแอนดรอยด์ก็คือใช้งานง่าย ขณะที่สมาร์ทโฟนที่ใช้วินโดวส์โมบาย ผู้บริโภคยังมีปัญหาว่าการใช้งานค่อนข้างยาก เพราะจะมีแฟลตฟอร์มการใช้งานเหมือนคอมพิวเตอร์
"จากที่ได้ทดลองใช้นั้น สมาร์ทโฟนที่ใช้แอนดรอยด์จะง่ายต่อการใช้งานพอๆ กับ ไอโฟน แต่ในส่วนของไอโฟนเน้นในเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์ดูหนัง ฟังเพลง แต่การใช้งานของแอนดรอยด์จะเน้นทางด้านดาต้าในแบบของกูเกิล เช่น กูเกิล แมป เสิร์ช เอ็นจิ้น เป็นต้น" นายสมชัยกล่าวและว่า
โปรดักต์ไลน์ที่เป็นแอนดรอยด์ของเอชทีซีนั้นจะมีตั้งแต่ระดับราคาหมื่นกว่าบาทไปจนถึง 3 หมื่นกว่าบาท แต่ที่จะนำเข้ามาทำตลาดในช่วงแรกจะเป็นรุ่นระดับราคา 2 หมื่นกว่าบาท
สำหรับตลาดโน้ตบุ๊กยังเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การแข่งขันราคาค่อนข้างสูง มาร์จิ้นในการทำตลาดค่อนข้างต่ำ ทำให้ต้องใช้การบริหารจัดการเพื่อให้มีต้นทุนต่ำ ค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้
ที่มา: matichon.co.th