จุดเปลี่ยนวัฒนธรรม "โซนี่" ปรับโฟกัสสู่ตลาดกล้องโลว์คอสต์

[Reporter]

เมื่อต้นปี "โซนี่" ยักษ์อิเล็กทรอนิกส์ จากแดนอาทิตย์อุทัย เปิดตัวกล้องวิดีโอรุ่นใหม่ "Webbie HD" ใน ราคาเบาๆ 200 ดอลลาร์ ซึ่งกล้องรุ่นนี้ไม่ได้มีฟังก์ชั่นหวือหวาอย่างที่สาวกเฝ้ารอคอย

แต่ที่น่าสนใจคือการขยับดังกล่าวสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวัฒนธรรม "โซนี่" ซึ่งเคยชินกับการคิดค้นเทคโนโลยีทันสมัยและราคาแพง มากกว่า ที่จะให้ความสำคัญกับสินค้าราคาเบาๆ และใช้งานง่าย

วอลล์สตรีต เจอร์นัล รายงานว่า Webbie HD เป็นกล้องสำหรับบันทึกคลิปวิดีโอไว้โพสต์บนอินเทอร์เน็ต และเป็นเหมือนคำตอบสุดท้ายของโซนี่ ที่จะต่อกรกับ "ฟลิป" (Flip) แบรนด์กล้องวิดีโอขนาดเล็กราคาประหยัดที่กำลังขายดิบ ขายดีอยู่ในตลาดสหรัฐ

Webbie นั้นผลิตโดยบริษัทจีนที่เป็นคู่สัญญา ไม่ได้ผลิตจากโรงงานของโซนี่โดยตรง ส่วนหัวหอกในการพัฒนากล้องรุ่นนี้คือทีมการตลาดในสหรัฐ ไม่ใช่ทีมวิศวกรในโตเกียว และกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือชาวอเมริกันที่ใส่ใจเรื่องราคา ไม่ใช่คนญี่ปุ่นที่หลงรักอุปกรณ์ไฮเทคหัวปักหัวปำ

จะว่าไปแล้ว การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมของค่ายโซนี่ ถือเป็นภารกิจหลักของซีอีโอคนเก่ง "โฮเวิร์ด สตริงเจอร์" ที่จะเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัท เพื่อต่อกรกับคู่แข่งสำคัญๆ อย่าง แอปเปิล ผู้คิดค้นนวัตกรรมขายดี "ไอพอด" ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่าดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวและซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่ายสามารถขับเคี่ยวกับเวทมนตร์ ทางวิศวกรรมของบริษัทญี่ปุ่นได้

ภารกิจของสตริงเจอร์ทวีความเร่งด่วนมากขึ้นตั้งแต่เมื่อต้นปี เมื่อโซนี่ประเมินว่าอาจประสบภาวะขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี โดยสตริงเจอร์ยอมรับว่าเราไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางพื้นฐานในการทำธุรกิจอย่างเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม โซนี่ยังต้องเผชิญกับความท้าทาย เพราะเปิดตัว Webbie หลังฟลิปถึง 3 ปี ทำให้โซนี่ยังต้องทำงานหนักเพื่อให้ข้อบกพร่องต่างๆ หมดไป รวมถึงการที่ซอฟต์แวร์ของ Webbie ไม่สามารถใช้ได้กับเครื่องคอมพ์แมคของค่ายแอปเปิล ซึ่งบริษัทกำลังปรับให้ผู้ใช้เครื่องแมคสามารถดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ของโซนี่ได้

ทั้งนี้ โซนี่เริ่มพัฒนา Webbie ในปี 2550 เมื่อยอดขายกล้องแฮนดี้แคม (Handycam) เริ่มอยู่ในภาวะยากลำบาก ซึ่งแม้โซนี่จะพยายามลดราคาแฮนดี้แคม แต่รุ่นความละเอียดสูงก็ยังมีต้นทุนมากกว่า 600 ดอลลาร์อยู่ดี ขณะที่โซนี่ประเมินว่า ยอดขายกล้องแฮนดี้แคมลดลง 20% อยู่ที่ 6.2 ล้านเครื่อง ในปีล่าสุดที่สิ้นสุด 31 มี.ค.

ต่างกับตลาดกล้องวิดีโอราคาถูกที่ใช้แฟลชเมโมรี่ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลของบริษัทวิจัย "ไอดีซี" ระบุว่า กล้องวิดีโอโลว์คอสต์มีสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของตลาดกล้องวิดีโอที่จำหน่ายทั่วโลกราว 22 ล้านเครื่องในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 22% ในปี 2549 ต่างกับกล้องแคมคอร์เดอร์แบบไฮเอนด์ที่บันทึกภาพเคลื่อนไหวได้เพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น

บริษัทวิจัย "เอ็นพีดี" ระบุว่า กล้อง วิดีโอของฟลิปครองส่วนแบ่งในตลาดกล้องดิจิทัลแคมคอร์เดอร์ในสหรัฐอยู่ราว 14%

ขณะที่โซนี่เริ่มรุกคืบมาในตลาดนี้ในเดือนสิงหาคมปี 2550 ซึ่งบริษัทเรียนรู้ว่าลูกค้าในตลาดสหรัฐต้องการกล้องความละเอียดสูงที่มีความโฉบเฉี่ยวและมีสีสันมากขึ้น โซนี่จึงได้ตั้งทีมงานที่ประกอบด้วยวิศวกร ดีไซเนอร์ และนักการตลาด ทั้งจากสำนักงานโตเกียวและสหรัฐ เพื่อพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งทีมงานจะจดลิสต์รายการความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ตั้งแต่อยากให้มีปุ่มใช้งานน้อยลง แต่ให้เพิ่มขนาดปุ่มกดให้ใหญ่ขึ้น เมนูใช้งานได้ง่ายขึ้น รวมถึงขอให้เพิ่มสีสันอย่างสีส้ม สีม่วง จากเดิมที่มักใช้โทนสีดำ เงิน และนาวีบลู

ที่มา: matichon.co.th