ช่วงระหว่างนี้...ดูเหมือนว่าบรรดาลูกหลานพระจักรพรรดิ “ไซรัสมหาราช” แห่งจักรวรรดิเปอร์เซียในอดีต หรือบรรดาชาว “อิหร่าน” ทั้งหลาย จะออกอาการหนักหนาสาหัสอยู่พอสมควร เมื่อต้องเจอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” เข้าไปแบบเต็มๆ ชนิดเห็นว่าตัวเลขคนตายพุ่งขึ้นไปถึง 66 คน ขณะจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 1,501 คน เมื่อช่วงวันจันทร์ (2 มี.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดของผู้ที่ตายด้วยโรคระบาดชนิดนี้ นอกเหนือไปจากประเทศจีน อันเป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาด...
อีกทั้งผู้ที่ตาย หรือผู้ที่ติดเชื้อ ก็ไม่ได้มีแต่เฉพาะปุถุชนคนธรรมดาเท่านั้น ระดับสมาชิกสภาพิเศษ หรือผู้บริหารระดับสูงของประเทศ อดีตทูตประจำกรุงวาติกัน ไปจนถึงรองประธานาธิบดี หรือตัวรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขเอง ฯลฯ ต่างก็ตาย ไม่ก็ติดเชื้อ จนทำให้ใครต่อใครต้องหันมาจับจ้องมองเขม้น ไปยัง “ศัตรูคู่กัด” ของคุณพ่ออเมริการายนี้อย่างเป็นพิเศษ โดยจะมองด้วยสายตาแห่งความเป็นห่วง เป็นใย ต่อ “เพื่อนมนุษย์” ผู้ร่วมวัฏฏสังสาร หรือด้วยสายตาแห่งความจงเกลียด จงชัง
ความอาฆาตพยาบาท อันเนื่องมาจากความเป็นศัตรู อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายไมค์ ปอมเปโอ” ได้ให้การกับกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐฯ ไปเมื่อวัน-สองวันนี้ ว่า “เรากำลังจับตาอิหร่าน” ว่าจะ “เละ-ไม่เละ” กันไปถึงขั้นไหน อะไรทำนองนั้น...
และก็ด้วยทัศนะ มุมมอง อันมีพื้นฐานมาจากความเกลียด เคียดแค้น อาฆาต และพยาบาท ของคุณพ่ออเมริกานี่เอง ดูจะเป็นตัวส่งผลให้การต่อสู้เพื่อเอาชนะโรคระบาดของอิหร่านคราวนี้ ไม่สามารถทำได้ถนัดถนี่มากมายสักเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่เชื้อไวรัส “COVID-19” ยังไม่ทันอุบัติขึ้นมา ระบบสาธารณสุขของอิหร่าน ก็ถูกขัดแข้ง ขัดขา ถูก “เตะตัดขา” ด้วยมาตรการ “แซงชั่น” ของอเมริกา ชนิดไม่ว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ไปจนสินค้าอาหารแต่ละประเภท ฯลฯ ที่บรรดาชาวอิหร่านต้องการ ต่างถูกกีดกัน ขัดขวาง ไม่ให้ถูกจัดส่งเข้ามายังประเทศอิหร่าน แม้ว่าชาวอิหร่านที่ล้วนแต่เป็น “มนุษย์” ไปด้วยกันทั้งสิ้น จะไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยเลย กับความขัดแย้ง ความเป็นศัตรูระหว่างรัฐบาลตัวเองกับคุณพ่ออเมริกา...
ด้วยเหตุนี้...การที่ตัวเลขคนตาย คนติดเชื้อไวรัส “COVID-19” ในอิหร่าน ออกจะสูงอย่างเป็นพิเศษ ก็คงไม่ถึงกับน่าแปลกใจอะไรมากมาย แต่นั่นก็ดูจะไม่ได้ทำให้รัฐบาลอิหร่านคิดยอมแพ้ หรือยอมเละเอาง่ายๆ ความพยายามผนึกกำลังภายในหมู่ชาวอิหร่านด้วยกันเอง ไม่ว่ารัฐบาล ภาคเอกชน ไปจนบรรดาตำรวจ ทหาร ฯลฯ แบบชนิดถึงไหนก็ถึงกัน จึงก่อให้เกิดภาพที่น่าชื่นชม น่าประทับใจ มิใช่น้อย เช่นโรงงานต่างๆ ในเขต“Khuzestan” ที่ตัดสินใจเปลี่ยนมาผลิต “หน้ากากอนามัย” เพื่อแจกจ่ายให้ผู้คนในพื้นที่ จำนวนถึง 1 ล้านชิ้นโดยไม่ต้องพึ่งพารัฐบาล ขณะรัฐบาลอิหร่านก็ไม่ได้คิดงอมือ งอตีน อยู่เฉยๆ นอกจากสั่งห้ามร้านขายยาต่างๆ ให้เลิกขายหน้ากากอนามัย เพราะรัฐบาลตัดสินใจ “แจกฟรี” โดยไม่คิดมูลค่า บรรดาหน่วยงานราชการ เช่นโรงงานผลิต“เครื่องแบบทหาร” ของกองพลทหารราบ ก็เปลี่ยนสายการผลิต หันมาผลิตหน้ากากอนามัยกันแทนที่ จำนวนการผลิตและการแจกจ่ายเครื่องป้องกัน อย่างหน้ากากอนามัย ที่เพิ่มขึ้นวันละเป็นล้านๆ ชิ้น จึงน่าจะพอช่วยบรรเทาเบาบางความหนักหนาสาหัสต่างๆ ลงไปได้บ้าง อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่ปลอดเชื้อ ถูกจำหน่ายจ่ายแจกไปยังพื้นที่ต่างๆ อย่างเป็นระลอก รวมทั้งที่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ที่เป็นห่วง เป็นใย ผู้มีหัวอกเดียวกัน อย่างประเทศจีน เป็นต้น ที่ได้ขนอุปกรณ์เครื่องมือทันสมัยกว่า 5,000 รายการ เครื่องตรวจไวรัสกว่า 2,000 ชุด ชุดป้องกันบุคลากรทางการแพทย์อีกกว่า 700,000 ชิ้น ไปให้กับ “เพื่อนมนุษย์” อย่างชาวอิหร่านกันถึงที่...
ดังนั้น...โอกาสที่ “ศัตรูคู่กัด” ของอิหร่าน อย่างคุณพ่ออเมริกา จะฉวยโอกาสหันมา “กระทืบ” ระบอบปกครองอิหร่านให้จมธรณี เหมือนอย่างที่พยายาม “พลิกวิกฤตเป็นโอกาส” หรือพลิกความฉิบหายของประเทศจีน ให้เป็นโอกาสของอเมริกามาก่อนหน้านี้ ก็คงไม่ถึงกับ “ง่าย” กันสักเท่าไหร่นัก ตรงกันข้าม...ด้วยทัศนะมุมมองอันที่มาจากความเกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท ชนิดเห็นใครต่อใครที่ไม่คิดศิโรราบให้กับตัวเองกลายเป็น “ศัตรู” ไปซะแทบทั้งหมด หรือไม่ได้มองเห็นถึงความเป็น “เพื่อนมนุษย์” แม้แต่น้อย อาจทำให้โอกาสที่จะเกิด “
กรรมสนองกรรม” ภายในประเทศอเมริกาเอง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
เพราะแม้จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อในอเมริกา จะเพิ่งขึ้นไปแค่ประมาณ 60-70 ราย ตายไป 1 ราย...แต่โดยบรรยากาศทั่วๆ ไปของการรับมือกับเชื้อไวรัสชนิดนี้ ดูไม่น่าชื่นชม น่าประทับใจสักเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับอีกหลายต่อหลายประเทศ หรือกระทั่งประเทศจีนที่ถูกถือเป็นคู่แข่ง และเป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดคราวนี้ คือมันไม่ได้สะท้อนให้เห็น“ความร่วมมือ-ร่วมใจ” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ชนิดระหว่าง “ทำเนียบขาว” กับองค์กรที่มีบทบาทหน้าที่โดยตรง อย่าง “CDC” (The Center for Disease and Prevention) ออกอาการเหมือนกำลังฉายหนังกันคนละม้วน ไปกันคนละทาง สองทาง คนละเรื่อง คนละเบอร์ อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ขณะประธานาธิบดีบอกว่า “เอาอยู่” ถือเป็นเรื่อง “ชิลๆ” ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงกลับเห็นไปในทางตรงกันข้าม ด้วยเหตุนี้หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ เลยต้องส่งรองประธานาธิบดีมาคุมรัฐมนตรีสาธารณสุขกันอีกที...
ส่วนบรรดาอเมริกันชนที่ไม่คิดจะ “ออกลูกเป็นลิง” ทั้งหลาย หรือผู้ที่ไม่เชื่อประธานาธิบดีของตัวเอง เลยต้องว่ากันไปตามสไตล์ของใคร-ของมัน หรือทางใคร-ทางมัน อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ เช่น ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย “นายGavin Newsom” ที่ต้องออกมาประกาศ “ภาวะฉุกเฉิน” หลังเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้ถูกระบุอย่างเป็นทางการ ว่าอาจพุ่งขึ้นไปถึง 8,400 รายภายในพื้นที่รับผิดชอบของตัวเอง ด้วยลักษณะอาการเช่นนี้เลยทำให้ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะ “หูแหก-ตาแหก”ตามไปด้วย เกิดการกักตุนอาหาร น้ำดื่ม ผ้าอนามัย กระดาษชำระ ฯลฯ ชนิดร้านค้า ดีพาร์ตเมนท์สโตร์ และซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลาย แทบไม่เหลือสินค้าวางเอาไว้บนแผง เพราะถูกอเมริกันชนกวาดเกลี้ยงกันไปเป็นแถบๆ...
แต่ที่หนักหนาสาหัสยิ่งไปกว่านั้น...ก็เห็นจะเป็นผู้ที่สงสัยว่าตัวเองอาจติดเชื้อ หรือผู้ที่ดันไปติดเชื้อชนิดนี้ขึ้นมา ที่หนังสือพิมพ์ “Miami Herald” เขาได้นำมาทำเป็นรายงานข่าวไปเมื่อปลายเดือนกุมภาฯ ที่ผ่านมา ว่าหลังเข้าไปตรวจร่างกายและได้รับการดูแลรักษาจากสถานพยาบาลเป็นที่เรียบร้อย ปรากฏว่า “บริษัทประกัน” ได้ส่งบิลมาแจ้งว่า ค่าตรวจ ค่าดูแลรักษาเป็นเงินถึง 3,270 ดอลลาร์ แต่วงเงินประกันของตัวเองมีอยู่แค่ 1,440 ดอลลาร์ นอกเหนือไปจากนั้นต้องควักเงินสดมาจ่ายให้บริษัทประกันไปตามระบบ“ทุนนิยมเสรี” ต่างจากบรรดาผู้ติดเชื้อ หรือสงสัยว่าติดเชื้อในประเทศ “ทุนนิยมเผด็จการ” อย่างจีนแบบคนละเรื่อง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ “ฟรี...กับ...ฟรี” ไปด้วยกันทั้งสิ้น และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...คอลัมนิสต์ “Global Times” สำนักข่าวทางการของจีน อย่าง “นายLi Qingqing” เลยอดไม่ได้ที่จะต้องร่ายยาวไว้ในข้อเขียน บทความเรื่อง “Gap between rich and poor in US laid bare in face of virus” หรือการเผชิญหน้ากับโรคระบาดคราวนี้ ได้เป็นตัวเปิดเผยแบบชนิดล่อนจ้อน ให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนในอเมริกา ว่าน่าเกลียด น่าทุเรศไปถึงขั้นไหน ยิ่งเมื่อเชื้อไวรัสที่ว่า มันคงไม่ได้สนใจว่าใครรวย-ใครจน หรือแม้แต่ใครปกครองกันในระบอบใด ดังนั้น...ถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อในอเมริกาเพิ่มมากขึ้นไปเท่าไหร่ โอกาสที่สังคมอันเต็มไปด้วยช่องว่าง อย่างสังคมอเมริกัน อาจหนีไม่พ้นต้องเจอกับ “
กรรมสนองกรรม” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาซะเลย...
กฎแห่งกรรม