“เนย เนโกะจัมพ์” (คนซ้าย) ทำเอานักร้องสาว “เนย วรัฐฐา อิมราพร” หรือ “เนย เนโกะจัมพ์” หวาดผวาเมื่อถูกชายโรคจิตคลั่งคอยติดตามและคุกคามถึงที่บ้าน และเวลาทำงาน จนเป็นเหตุให้ผู้เป็นพี่สาวฝาแฝดอย่าง “แจม ชรัฐฐา” ทนไม่ไหวลุกขึ้นมาโพสต์อินสตาแกรมเพื่อวอนขอให้ชายคนดังกล่าวหยุดการกระทำเพราะเป็นห่วงน้องสาว ล่าสุด “เนย-แจม” ได้ควงกันไปออกรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ที่ช่อง2 สตาร์แม็กซ์ เปิดเผยถึงเหตุการณ์นี้ พร้อมขอให้หยุดเพราะไม่อยากแจ้งความเอาเรื่อง
แจม: “เขาตามเนยค่ะ ไม่ได้ตามหนู คือหนูเป็นคนโพสต์ เพราะหนูเห็นเนยเขาบ่นๆ ให้ฟังว่าอึดอัด คือเรื่องของเรื่องมีคนชอบเนย เขาจะติดตามมาตลอดเวลา เราไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหนยังไง ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติที่เวลาเราเล่นคอนเสิร์ตจะมีแฟนๆ มาติดตาม แต่คนๆ นี้เหมือนมีอะไรที่มากขึ้น แบบในเวลาส่วนตัวก็ยังมา”
เนย: “เนยก็ตกใจค่ะ แต่ว่าตอนแรกที่เจอท่าทางเขาปกติมาก อายุน่าจะประมาณ 30 จัดว่าดูดีเลย เหมือนเป็นเจ้าของบริษัท แต่หนูก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเขาทำอะไร แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้กลัวเลย ยังคุยกับเขาด้วยซ้ำ จนเรามาเจอเขาที่งานต่างจังหวัดอีก ก็เริ่มแปลกใจแล้วว่า เอ้ย! เจอได้ไง คือที่หนูจำได้ก็เพราะว่า เขาเคยมาคอมเมนต์ในไอจีบ่อยๆ แล้วหนูก็เคยตอบกลับด้วย แต่ก็คุยปกติไง คือเห็นเขาเมนต์เยอะก็เลยตอบสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้เมนต์อะไรแบบนั้น คือเขาถามอะไรเราก็ตอบตามนั้น”
เผยเคยถูกตามไปถึงประเทศญี่ปุ่น
เนย: “แล้วก็มีอีกครั้งคือตามไปเนยไปถึงญี่ปุ่นเลย คือเนยไปเที่ยวแล้วไปเจอเขา แบบว่าไฟลต์บินไป-กลับเดียวกัน เรารู้เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว เพราะขนาดแจมยังไม่รู้เลยว่าหนูไปเที่ยวญี่ปุ่น ยังไม่รู้เลยว่าหนูพักโรงแรมอะไร เพราะเราตัดสินใจแค่ 3-4 วันแล้วก็เดินทาง แต่เขากลับรู้เรื่องราวชีวิตส่วนตัวหนูได้ไง ทั้งๆ ที่หนูไปคนเดียว”
“คือวันนั้นหนูเจอเขาที่ล็อบบี้โรงแรมกำลังจะเช็กเอาต์ เขาก็เดินลากกระเป๋ามาบอกว่าขอโทษนะครับ เราบังเอิญเจอกันอีกแล้ว เราก็งงบังเอิญไปนะ ไม่คิดว่าที่ญี่ปุ่นยังเจอ และเขาก็ถามว่ามากับใคร ตอนกลับที่นั่งอยู่ตรงไหนขอไปนั่งด้วยได้ไหม เนยก็เลยตัดสินใจคุยกับเขาตอนนั้นเลย ว่าขอให้เขาเข้าใจว่าตามได้แค่ในฐานะแค่ไหน เพราะว่าก่อนหน้านี้บางทีหนูไปเที่ยวกับเพื่อนอยู่ดีๆ เขาก็เดินมาบอกแบบว่าขอนั่งด้วยได้ไหม”
“ซึ่งหนูก็ไม่ได้รังเกียจนะ แต่ว่าบางอย่างมันคือเรื่องส่วนตัว คือขอมีบ้างถึงแม้ว่าเป็นคนสาธารณะก็เถอะ (เคยถามเขากลับไหมว่าจิตเปล่า?) ไม่ได้ถามค่ะ คือเขาเหมือนเป็นคนปกติทั่วไปจากที่ดูหรือเห็นการโต้ตอบของเขาในไอจี คือคุยดีมากๆ ซึ่งตอนแรกเราก็คุยดีกับเขาเลยว่าเขาดีใจอุตส่าห์ตามมาถึงต่างจังหวัด แต่หลังๆ เริ่มน่ากลัวแล้ว คือเหมือนเริ่มเยอะอย่างน้อยควรมีมารยาทนิดนึง”
บอกเจอหนักสุดเมื่อวาเลนไทน์ที่ผ่านมา อีกฝ่ายมายืนกดออดหน้าบ้านนาน 20 นาที และเอาช่อดอกไม้มาวางให้ในรั้วบ้าน
เนย: “หนูก็ไม่รู้ว่าเขารู้จักบ้านเราได้ยังไง คือเขาตามมากดออดที่รั้วบ้าน อารมณ์แบบเด็กกดออดเล่นประมาณ 20 นาที และก็มีครั้งที่ 2 มายืนเฝ้าหน้าบ้าน ตอนนั้นก็ตกใจมากว่าทำไมมาทำแบบนี้”
แจม: “คือวันนั้นแจมเป็นคนเห็น เพราะว่าเขาหยุดกดออดหน้าบ้าน เราก็เลยเดินไปดูว่ากลับไปหรือยัง แต่ปรากฏว่าไม่กลับ ยืนอยู่ตรงนั้น แล้วก็เอาช่อดอกไม้มาวางในรั้วบ้าน เหมือนเอามาให้ในวันวาเลนไทน์”
นอกจากจะตามแล้วอีกฝ่ายยังเคยเอาโทรศัพท์ไอโฟนมาให้ด้วย
เนย: “หลังๆ เริ่มมีของมาให้ค่ะ อย่างไอโฟนคือเราก็ตกใจ เลยบอกเขาไปว่าวันหลังอย่าให้อะไรแบบนี้ เรารู้สึกไม่สบายใจ แบบซื้อของมาให้ คือถ้าเราจะรับก็รู้สึกแย่ แต่ถ้าไม่รับก็เหมือนปฏิเสธน้ำใจอีก คือเราจะโอเคมากกว่าถ้าให้เป็นขนม ตุ๊กตาเหมือนแฟนคลับทั่วไปที่เขาให้กัน”
ถึงแม้ว่าจะถูกตามไปเกือบทุกที่ ด้านนักร้องสาวยันไม่เคยถูกลวนลาม
เนย: “ไม่มีค่ะ คือเขาไม่ได้มาแนวโรคจิต คือแค่มาตามแบบก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวจนเรารู้สึกอึดอัด (เขามาจีบหรือเปล่า?) มันก็ดูแปลกๆ นะเพราะว่าเราไม่รู้จักกันเลย แต่ว่าเขาเคยแอดไลน์มาครั้งนึง แต่หนูก็ไม่ได้รับเพราะรู้ว่าเป็นเขา หรือจะบอกว่าเขาเข้าใจผิดคิดว่าหนูเล่นด้วย หนูว่าไม่น่าจะใช่นะ เพราะปกติหนูไม่ได้เป็นคนที่เทคแคร์แฟนคลับแบบขนาดโอบกอดหรือจับมืออะไร คือเราก็คุยทักทายปกติ”
หลายคนมองว่าที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะว่าตนเปลี่ยนแนวจากแอ๊บแบ๊วมาเซ็กซี่
เนย: “คือเขาก็ไม่ได้มาตามแบบนั้น ไม่ได้มาตามแบบสวยโน่นนี่นั่น แต่เขาตามแบบเป็นแฟนกับเนย คือทำแบบเป็นเจ้าของตามติด เฝ้า อย่างเวลามีข่าวกับผู้ชายก็จะเข้ามาเมนต์ว่าเนย ว่าทำไมเป็นคนหลายใจโน่นนี่นั่น อย่างตอนเจอที่ญี่ปุ่นก็ถามว่าคนที่คุยในไอจีเป็นใคร พอเราตอบกลับไปว่าเป็นแฟนค่ะ เขาก็เงียบ ตอบว่าครับและเดินออกไป”
สุดท้ายหากอีกฝ่ายเข้าใจ และไม่ทำพฤติกรรมแบบก่อนหน้านี้อีกก็จะไม่แจ้งความ
เนย: “ก็คิดว่าเขาน่าจะรู้แล้วแหละว่าเรารู้สึกยังไง คิดว่าเขาน่าจะเข้าใจเรามากขึ้น ว่าเราโอเคแบบไหน ไม่ได้ตัดเขาออกจากชีวิตนะ คือยังติดตามผลงานได้เหมือนเดิม ส่วนจะแจ้งความไหม หนูก็เคยปรึกษากับหลายๆ คน เขาก็บอกว่าควรไปแจ้งความไว้ก่อน แบบแค่ลงบันทึกประจำวันเพื่อเกิดอะไรขึ้น หรือว่าถ้าไม่มีก็ถือว่าโชคดีไป แต่หนูก็ขอพูดตรงๆ เลยนะ ว่าไม่อยากจะแจ้งความ เพราะถ้าเราแจ้งเขาจะดูผิด คือเราก็เห็นใจเพราะเวลาไปแจ้งมันต้องมีภาพมีอะไร เขาอาจเสียหายเราก็สงสารเขา คือถ้าเข้าใจกันไกล่เกลี่ยกันได้เราก็โอเคดีกว่าที่จะต้องไปแจ้งความ เพราะเขาไม่ได้มาทำร้ายหรือถูกเนื้อต้องตัว”
ที่มา: manager.co.th
