Author Topic: “ภีม” ลั่น “เจค ศตวรรษ” ไม่ต้องมารับผิดชอบ บอกพ่อทิ้งไป 17 ปีแล้ว  (Read 752 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


    “ภีม ภาคิน” เผยจนป่านนี้พ่อ “เจค ศตวรรษ” ก็ไม่ติดต่อมา บอกพ่อทิ้งไป 17 ปีแล้ว แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ก็ไม่มี ลั่นไม่รู้สึกว่าขาดพ่อเพราะแม่เป็นทุกอย่างในชีวิตแล้ว ไม่เคยคิดอยากให้มารับผิดชอบ ส่วนเรื่องตรวจดีเอ็นเอเป็นเรื่องของพ่อกับแม่ ซึ่งสำหรับตนไม่จำเป็น ขอบคุณผู้ใหญ่ที่ป้อนงาน
       
       เคยออกมายืนยันแล้วว่าไม่ได้เจตนาแฉพ่อเพราะอยากดัง สำหรับ “ภีม ภาคิน บวรศิริลักษณ์” ลูกชายอดีตนางแบบชื่อดัง “แอน กัญญารัตน์ บ่อสันเที๊ยะ” และนักแสดงหนุ่ม “เจค ศตวรรษ ดุลยวิจิตร” ที่ลุกขึ้นมาเปิดเผยเรื่องราวชีวิตตัวเองในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ซัดผู้เป็นพ่อว่าไม่รับผิดชอบและไม่เคยรับว่าตนเป็นลูก ทำให้ตนต้องเป็นเสาหลักของที่บ้าน เพราะแม่ป่วยเป็นวัณโรคกระดูก จนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อายุ 20 ปี ต้องดรอปเรียนและรับภาระดูแล แม่ น้อง ยาย และน้า ที่เป็นโรคประสาทอีก 2 คน ด้วยเงินรายได้จากการแสดงเพียงเดือนละ 20,000 บาท แต่กลับมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่าเดือนละ 70,000 บาท งานนี้ทำเอา เจค ศตวรรษ โดนถล่มด่าตามระเบียบ
       
       กลายเป็นประเด็นร้อนขนาดนี้ สอบถามความคืบหน้าหลังออกรายการว่าผู้เป็นพ่อได้ติดต่อมาหรือยัง หนุ่มภีมก็บอกว่ายังเงียบฉี่เหมือนเดิม เหมือนเมื่อ 16-17 ปีที่ผ่านมา
       
       “ฟีดแบ็กหลังออกรายการก็มีทั้งแง่ดีและแง่ลบครับ ผมก็พยายามอ่านแต่แง่ดีครับ ไม่ค่อยอ่านแง่ลบเท่าไหร่เพราะอาจจะมีบางคำถามบางคำตอบที่ให้เรารู้สึกท้อรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ซึ่งผมก็จะอ่านแต่ข้อดี แล้วคอยมาเล่าให้แม่ฟังครับ กระแสข่าวไม่ดีๆ ในอินเตอร์เน็ตคุณแม่ไม่ซีเรียส เพราะคุณแม่ไม่ค่อยเปิดอินเตอร์เน็ต ส่วนมากแม่จะดูข่าวจากทีวีมากกว่า คือให้แม่ไม่รู้เรื่องดีกว่า เพราะถ้ารู้สึกไม่ดี แม่จะรู้สึกไม่ดีสองเท่า เลยให้แม่ไม่รู้ดีกว่า”
       
       “ถ้าผมอยากดังผมคงออกมาตั้งแต่ตอนที่ผมลำบากแรกๆ แล้วครับ แต่นี้ผ่านมา 4-5 ปีแล้วครับที่แม่ป่วยไม่สบาย ซึ่งผมก็ไม่ได้บอกใคร ซึ่งทางทีมงานเข้าได้ประวัติของผม ทางทีมงานก็เห็นว่ามันน่าสนใจดีก็เลยได้นำไปเสนอในรายการ ผมไม่ได้เรียกกระแสให้ตัวเองดังขึ้นมา ซึ่งบางทีผมไปงาน คนก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ผมคือใคร เพราะถ้าเราบอกไป ถ้าเราทำอะไรที่ไม่ดีอาจจะเสียไปถึงพ่อแม่ได้ ซึ่งเราอยู่เงียบๆ ดีกว่า แต่ส่วนมากเขาก็จะทราบเองมากกว่า”
       
       แยกกันอยู่กับพ่อมา 16-17 ปีแล้ว แม้กระทั่งออกรายการไปแล้วก็ไม่มีการติดต่อใดๆ จากผู้เป็นพ่อเหมือนเดิม
       “ส่วนเรื่องพ่อก็เหมือนเดิมครับ ผมก็อยู่กับแม่เหมือนเดิม พ่อเขาก็ไม่ติดต่อมาครับ ผมก็ไม่ได้ติดต่อพ่อเลยครับ ก็คือแยกกันอยู่ 16-17 ปีแล้ว เขาก็ไม่ติดต่อมา แล้วทำไมเราถึงต้องติดต่อเขา และไม่มีเบอร์โทรศัพท์เขาด้วยครับ ไม่มีอะไรทั้งนั้น หลังจากที่ออกรายการเขาก็ไม่ได้ติดต่อเลยครับ ไม่มีความคืบหน้าอะไรครับ ตอนนี้ผมก็ทำงานเลี้ยงแม่อย่างเดียว”
       
       “คือเป็นอย่างนี้ผมก็มีความสุขดีอยู่กับแม่ แม่เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ของผมครับ ตอนนี้ก็มีงานเยอะขึ้น พอเลี้ยงทุกคนในบ้านได้ แต่ก็ไม่ได้คล่องตัวมาก ผมไม่นอยด์กับเรื่องนี้ครับ 17 ปีที่ผ่านมา ผมมีแม่คนเดียวผมก็อยู่ได้ครับ ไม่รู้สึกว่าขาดพ่อ มีแม่เป็นทั้งพ่อทั้งแม่และก็เพื่อนครับ”
       
       ลั่นไม่ได้อยากให้พ่อออกมายอมรับ และไม่จำเป็นต้องตรวจดีเอ็นเอ
       “ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมยืนได้ด้วยตัวเอง ผมมีครอบครัวของผม คอยให้กำลังใจ ทำให้ผมมีกำลังใจและสู้ต่อไปได้ ถามว่าอยากให้พ่อตรวจดีเอ็นเอไหม ไม่ครับ มันเป็นเรื่องระหว่างพ่อกับแม่ เป็นเรื่องระหว่างคนสองคน ซึ่งผมก็ไม่รู้เขามีอะไรติดใจกันหรือเปล่า ผมก็ไม่ทราบอะไร และมันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ด้วย ผมก็เลยเฉยๆ ครับ”
       
       รับพอออกรายการมีงานรุมเพียบ
       “งานก็มีเยอะขึ้นครับ จากเมื่อก่อนผมถ่ายละครเสาร์กับอาทิตย์ 2 วัน เดี๋ยวนี้ก็มีงานอีเวนต์มากขึ้น แต่ก็อยากมีเยอะกว่านี้นะครับ ผมจะมีเงินเลี้ยงแม่ให้สบายกว่านี้ครับ ผมขอขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสครับ ตอนนี้พี่หน่องก็ให้ละครมา 1 เรื่อง ซึ่งผมก็ขอขอบคุณพี่หน่องนะครับ เหมือนแม่คนที่ 2 ของผมอีกคนหนึ่งครับ”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)