Author Topic: RedHat เพิ่มทักษะพันธมิตร หวังเจาะตลาดโอเพ่นซอร์สคลาวด์  (Read 746 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


นายเดเมียน วอง ผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เรดแฮท จำกัด


นายกี เดฟโฟ (Guy Deffaux) รองประธาน ฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานไอที ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด มหาชน

     เรดแฮทพร้อมรุกตลาดคลาวด์องค์กรในไทยด้วยการนำเสนอโซลูชันโอเพ่นซอร์ส หลังพบยังมีการใช้งานไม่มากแต่มีโอกาสการเติบโตสูง หวังใช้จุดแข็งการเป็นผู้นำเอ็นเตอร์ไพรส์ลินุกซ์ที่มีส่วนแบ่งถึง 62 % ในตลาดโลกเป็นจุดขาย มุ่งกลยุทธ์การพัฒนาพาร์ทเนอร์และความร่วมมือกับพันธมิตรที่หลากหลาย เพื่อผลักดันการใช้งานโอเพ่นซอร์สให้เติบโต ยกเคสธนาคารกรุงศรีฯ นำโซลูชันไปใช้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดการลงถึง 5 เท่า
       
       นายเดเมียน วอง ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคอาเซียน เรดแฮท กล่าวว่า เรดแฮทพร้อมที่จะรุกตลาดคลาวด์ในไทย โดยใช้โอเพ่นซอร์สเป็นตัวขับเคลื่อน โดยที่ผ่านมาไอทีในไทยมีการเติบโตตามเทรนด์ของโลก แต่สำหรับคลาวด์นั้นยังมีการเติบโตยังไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดโลก ดังนั้นเรดแฮทจะเข้าไปช่วยตอบโจทย์ความเป็นคลาวด์ให้กับตลาดในเมืองไทย ด้วยการใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการขายไลเซ่นส์หรือการเป็นพันธมิตรกับคลาวด์โพรวายเดอร์ด้วยรูปแบบการบุกตลาดคลาวด์ที่แตกต่าง เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย
       
       ปัจจุบันเรดแฮท เป็นผู้นำเอนเตอร์ไพรส์ลินุกซ์ มีส่วนแบ่ง 62 % ในตลาดโลก ซึ่งเรทแฮทเชื่อว่าโอเพ่นสแตนดาร์ดจะเป็นตัวขับเคลื่อนคลาวด์ที่สำคัญ โดยผลประกอบการไตรมาสล่าสุด เรดแฮททำรายได้ประจำไตรมาสเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 44 ติดต่อกัน และปัจจุบันกลุ่มบริษัทใน Fortune 500 กว่า 90% ใช้นวัตกรรมและโซลูชันของเรดแฮท โดยกลุ่มตลาดหลักคือบริษัทที่ให้บริการด้านการเงิน โทรคมนาคม และองค์กรภาครัฐชั้นนำ นอกจากนี้เรดแฮทมีแผนที่จะจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นอีก 600-800 อัตราทั่วโลกในปี 2014 โดยการจ้างงานในภูมิภาคอาเซียนจะเน้นตำแหน่งด้านการขาย และการช่วยเหลือลูกค้าเป็นหลัก
       
       สำหรับในประเทศไทยซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่แข็งแกร่ง และลูกค้าในหลายธุรกิจเริ่มมีความมั่นใจในการใช้โซลูชันโอเพ่นซอร์สของเรดแฮท โดยในเบื้องต้นเรดแฮทจะเจาะกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มไฟแนนซ์ เทลโก้ และภาครัฐ ที่เริ่มมีการใช้งานคลาวด์กันบ้างแล้ว ด้วยการทำตลาดผ่านทางพาร์ทเนอร์ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นพาร์ทเนอร์แบบโออีเอ็มอย่าง เอชพี ไอบีเอ็ม หรือเอสไอ ดิสทริบิวชันพาร์ทเนอร์ รวมไปถึงรีเซลเลอร์ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในการทำตลาดอย่าง จีเอเบิล ยิบอินซอย เอ็มเฟคฯลฯ และพันธมิตรคู่ค้าอย่าง เอสเอพี ไซแมนเทค
       
       ทั้งนี้ช่องทางทางธุรกิจของเรดแฮททั่วโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา โดยเติบโตจาก 53% ในปีงบประมาณ 2551 เป็น 60% ในปีงบประมาณ 2555 และล่าสุดอยู่ที่ 62% ในปีงบประมาณ 2556
       
       “เราใส่ใจตลาดในเรื่องความต้องการของลูกค้า จะเข้าไปศึกษาว่ามีรูปแบบการทำธุรกิจอย่างไร แล้วนำเสนอให้ตรงกับความต้องการ โดยจะขายผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายจะมีการขยายตัวแทนไปเรื่อยๆ มีการเสริมทักษะของพาร์ทเนอร์ให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า สร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิด ทั้งยังมีแผนที่จะลงทุนทั้งในด้านการตลาด การขายและช่วยเหลือทางด้านเทคนิค เพื่อให้สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายในประเทศไทยและเป็นการสร้างการเติบโตในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้”
       
       นายเดเมียน กล่าวว่า สำหรับลูกค้าของเรดแฮทที่ประสบความสำเร็จอย่างเช่น ธนาคารกรุงศรีฯ หนึ่งในสถาบันการเงินของไทย ที่ได้นำโซลูชันโอเพ่นซอร์สของเรดแฮทมาใช้แล้วช่วยลดความซับซ้อนของการใช้งานมิดเดิลแวร์ทำให้ธนาคารสามารถปรับลดความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐาน และยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายอย่างเห็นได้ชัด โดยลดลงถึง 5 เท่าจากเดิม รวมทั้งยังช่วยทางด้านการให้บริการกับลูกค้าให้ดีขึ้นด้วยความสามารถในการสร้างบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

       นายกี เดฟโฟ ผู้จัดการฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานไอที ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารกรุงศรีมีการใช้งานแอปพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์ที่หลากหลาย ซึ่งมีทั้งแอปพลิเคชันที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และโอเพ่นซอร์ส ทำให้การจัดการระบบไอทีเกิดความซับซ้อน และผู้ดูแลทางด้านไอทีต้องทำงานหนักตลอดเวลา จึงต้องหาทางออกให้กับองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยการหันมาใช้ JBoss Enterprise Application Platform และ Red Hat Enterprise Linux เข้ามาช่วยในการจัดการ เพิ่มความเสถียรและความพร้อมของเทคโนโลยี
       
       โดยหลังจากใช้งานดังกล่าวพบว่าช่วยทำให้ความจำเป็นในการอัปเดตซอฟต์แวร์ลดลง และไม่ก่อให้เกิดปัญหาจากการใช้แอปพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์หลังจากนำโซลูชันใหม่มาใช้ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความซับซ้อนของมิดเดิลแวร์แล้ว ยังช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรต่างๆ ได้อีกด้วย

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)