Author Topic: “โป๊งเหน่ง” รับแล้ว “ยายอ้อย” เป็นแม่จริงๆ ด้านเมียร่ำไห้ แฉแม่ผัว เคยไล่ให้ไปทำแท้ง  (Read 708 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai










      “โป๊งเหน่ง” กลับคำรับแล้ว “ยายอ้อย” เป็นแม่จริงๆ วอนสังคมเห็นใจ พร้อมถามลูกไม่เลี้ยงแม่เรียกอกตัญญู แต่ถ้าแม่ไม่เลี้ยงลูกจะเรียกอะไร บอกพรุ่งนี้ (15 พ.ย.) จะยอมไปขอขมา และถ้าอีกฝ่ายอยากไปอยู่บ้านพักคนชราก็จะเซ็นยินยอมให้ ด้านเมียโป๊งเหน่งร่ำไห้แฉแม่ผัวเคยไล่ให้ไปทำแท้ง เพราะไม่ชอบหน้า แต่กลับพูดอะไรไม่ได้ ด้านยายอ้อยโต้กลับไม่จริง
       
       ยังเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจ กรณีที่ตลก “โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม” ถูก นางนัฐกนก วันเพ็ญ หรือ ยายอ้อย อายุ 70 ปี ออกมาให้ข่าวว่าถูกตลกดัง ซึ่งเป็นลูก และ นางสมญา ผู้เป็นภรรยาไล่ออกจากบ้าน จนตนเองต้องไปอาศัยอยู่ที่วัดพระยาสุเรนทร์ แขวงสามวาตะวันตก พร้อมท้าตรวจดีเอ็นเอ หลังตลกดังออกมาให้ข่าวทำนองว่าตนเป็นมาแอบอ้างนั้น
       
       ล่าสุด วันนี้ (14 พ.ย.) โป๊งเหน่ง ได้พาภรรยาออกมาแถลงข่าวชี้แจงถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมกลับคำยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นแม่จริงๆ ส่วนข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้เป็นแค่การสื่อสารที่เข้าใจผิดพลาด โดยยืนยันไม่เคยไล่แม่ออกจากบ้าน แต่อีกฝ่ายชอบหนีออกจากบ้านเอง เป็น 10 ครั้ง แต่ยอมรับภรรยาของตนมีปัญหากับแม่จริง ด้านภรรยาโป๊งเหน่งถึงกับร่ำไห้เปิดใจเคยถูกยายอ้อยไล่ให้ไปทำแท้งถึง 2 ครั้ง และยังกีดกันไม่ให้ใช้ชีวิตครอบครัวกับโป๊งเหน่งอีกด้วย
       
       “ก่อนหน้านี้เขาใช้ชีวิตอยู่กับลูกเลี้ยงครับ แล้วมาอยู่กับผมเกือบปีก่อนที่แกจะหนีไปอยู่วัด ผมยืนยันว่า ตอนแกมาอยู่ด้วยผมดูแลเต็มความสามารถแล้ว แต่แม่ของผมเป็นคนขาดเพื่อนไม่ได้ ตอนแกมีเงิน แกเคยปล่อยเงินกู้ เคยมีห้องเช่า 20 ห้อง แต่ตอนที่แกรวยผมไม่เคยได้อยู่กับแกเลย ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าลูกเลี้ยงเขาไปอยู่ไหน แต่ทราบข่าวล่าสุดว่าเขาเรียนไม่จบ แม่หมายมั่นปั้นมือว่าจะได้พึ่งพาคนนี้ แต่เรียนไม่จบเขาไปมีสามี แล้วก็ท้อง แล้วเขาก็ออกจากบ้านไป พูดกันง่ายๆ ก็คล้ายๆ เด็กแว้นน่ะครับ ก็ไปคิดกันเอาเองนะครับ พูดไปก็ไปพาดพิงเขาครับ”
       
       “คือชีวิตตอนเด็กผมไม่ได้ผูกพันกับแม่เพราะผมคลอดที่เมืองกาญจน์ แล้วมียายแก่ๆ คนนึงในแพเลี้ยงผมจนถึง 7 ขวบเพราะแม่เขาต้องไปทำงาน แต่พอถึง 7 ขวบแล้วเขาก็ต้องติดต่อให้แม่กลับมา เพราะผมต้องเข้าโรงเรียนในข่าวบอกว่าแม่เอาผมไปเข้าโรงเรียนประจำ แต่ไอ้โรงเรียนที่พูดเนี่ยคือศึกษาสงเคราะห์พนมทวนนะครับ ชีวิตที่นั่นตื่นเช้าก็ต้องปลูกผัก ซักผ้าเอง เสื้อผ้ามีชุดเดียว รองเท้าไม่มี อยู่ที่นั่นจนจบป.7 เดือนนึงแม่ก็มาครั้งนึง แต่ของผมจะมีศาลาท่ารถอยู่ผมก็จะนั่งรอแม่ แต่แม่ก็ไม่มา หรือไม่ก็ 3 เดือนมาที จนจบที่นั่นทางโรงเรียนก็ติดต่อทางแม่ผมให้มารับ แล้วก็มาเข้าโรงเรียนที่กรุงเทพ จนจบม.3 ก็ตามหาพ่อจนไปเจอพ่อ แล้วก็ไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว ก็ไปเล่นลิเกกับพ่อแทน จนได้มาเล่นตลกทุกวันนี้”
       
       “อายุ 18 ผมต้องออกจากบ้านเพราะแม่ผมไม่ชอบเมียผม จะให้เลิกกัน ทีนี้ผมเลิกไม่ได้ครับ เมียผมท้องอยู่ ผมก็เลยตัดสินใจในเมื่อเขาไล่เมียผม ก็เลยออกจากบ้านมาตั้งแต่วันนั้น เขาไม่ได้เลี้ยงดูผมตั้งแต่อายุ 18 จนตอนนี้ 48 ย่าง 49 ที่เขาไม่ได้เลี้ยงดูผม เขาเรียกอะไร แล้วตอนที่เขามีเงิน ตอนนั้นผมก็ยังไม่มีชื่อเสียงแล้วตอนนั้นเขาอยู่ตรงไหนครับ ผมลำบากกินข้าวกับพริกป่นน้ำปลา เขาทำไมไม่เรียกผมกลับไป แล้วทำไมแม่ไปรับลูกเลี้ยงมาคนนึง เอามาเชิดชู แล้วบอกว่ามึงไปมึงไม่ใช่ลูกกู เป็นพี่ๆ จะคิดยังไงถ้าแม่บอกว่ามึงไม่ใช่ลูกกู”
       
       “ผมเป็นลูกคนเดียว เขาบอกว่าพ่อผมตายไปตั้งแต่ผมเกิด อันนี้ก็อย่าไปว่าแม่ผมพูดโกหกเลยครับ เขาอาจจะสับสน เพราะจริงๆ พ่อผมเพิ่งจะตายไปเมื่อ 10 ปีนี้เอง เพราะงานบวชผมพ่อยังมาจัดให้เลย พ่อยังบอกเลยว่าไปบอกแม่เขานะลูกคนเป็นแม่ต้องซื้อผ้าไตร ต้องไปโกนหัวลูก แต่เขาไม่ไป แต่เรื่องแบบนี้อย่าไปว่าแม่ผมเลยนะครับ เอาเป็นว่าผมผิดเอง”
       
       “สังคมยอมรับว่าผมรักครอบครัว ไปกองถ่ายทุกคนก็จะเห็นว่าผมรักเมียมาก นักข่าวให้ผมไปตรวจดีเอ็นเอว่าผมเป็นลูกของยายอ้อยจริงๆ หรือเปล่า ของพรรค์นี้ไม่ต้องไปตรวจ ผมยอมรับตรงนี้ว่ายายอ้อยเป็นแม่ผม ผมเป็นลูกยายอ้อย แต่วันนั้นที่ผมหลุดพูดไปเพราะผมกำลังขับรถอยู่ แล้วมีนักข่าวถามผม ผมก็เลยตอบไปว่าไม่รู้ว่าเขาคือแม่ที่แท้จริงของผมหรือเปล่า แล้วเขาทำกับผมแบบนี้ แล้วทำกับผมตั้งแต่ผมยังเด็ก จนผมปีนี้ย่าง 49 แล้ว แล้วความเป็นมาที่เขาทำกับผม ผมไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากคำว่าแม่ว่าเป็นอย่างไร”
       
       “ชีวิตผมตั้งแต่ผมมีเมียคนนี้ ผมอด ผมทนลำบาก อยู่ด้วยกันมา 30 กว่าปี เป็นเพื่อนผม เป็นเหมือนเม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นทุกอย่าง จนมาวันนึงพี่เป็ด เชิญยิ้ม ให้โอกาสผม ผมอยู่วงการนี้มา 20 กว่าปี ผมสร้างขึ้นมาด้วยตัวของผมเอง แต่วันนี้มันกำลังจะถูกทำลายโดยใครสักคนหนึ่ง เพระคำว่าแม่ ลูกที่ไม่เลี้ยงแม่ในสังคมเรียกเป็นลูกอกตัญญู แต่ถ้าแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงผมเลย แม่จะถูกเรียกว่าอะไรครับ”
       
       “ผมขอวอนสังคมบ้าง ให้เข้าใจผมบ้าง ผมก็มีมุมของผม แต่ไอ้ที่ว่าไม่เคยทำกับเรายังไงอย่าให้ผมพูดออกจากปากผมเลยครับ เพราะถ้าผมพูดออกไปทุกสื่อก็โจมตีผม ไอ้โป๊งเหน่งไอ้ลูกชั่วมันเอาแม่ไปทิ้งแล้วยังจะมาประจานแม่อีกเหรอเนี่ย พอแล้วครับผมขอพอ ขอจบวันนี้ ทุกอย่างผมจะเคลียร์ทั้งหมด และผมขอพูดต่อหน้าพระทุกๆ ที่ว่าจะพูดแต่ความจริงทั้งหมด แล้วสังคมก็ไปพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน ถ้าผมเป็นคนเลวในสังคมก็อย่ามาดูอย่ามาชื่นชมผลงานของผม ถ้าผมเป็นคนผิดก็อยากจะให้ทุกๆ ท่านให้โอกาสผมอีกสักครั้งนึง ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ”
       
       “ผมไม่เคยทิ้งแม่ครับ เข้าใจผิดครับ มีพยานคนไหนยืนยันได้บ้างครับว่าผมเอาแม่ไปทิ้งไว้ที่วัด ที่วัดนั้นผมยังไม่เคยไปเลยครับ สาเหตุที่แม่ออกไปจากบ้าน ก่อนหน้านี้แม่มาอยู่กับผมเกือบปี ทุกครั้งที่แกหนีออกไปจากบ้าน ผมก็ต้องไปรับ ถ้าผมไปทำงานก็จะให้ลูกชายไปรับ แต่ที่เขาบอกว่าอยู่กับเราแล้วบาก เข้าห้องน้ำก็ไม่ได้ อุจจาระก็ต้องใส่กระโถนแล้วไปทิ้งมันมีสาเหตุหมดแหละครับ แต่ว่าเรื่องแบบนี้บางทีมันเป็นเรื่องในครอบครัว ให้นอนบนบ้านในห้องของลูกสาวคนแก่แล้วเดินขึ้นเดินลงก็ล้มบ้างอะไรบ้าง ก็อยู่ไม่ได้ครับ เดี๋ยวตายก็ยุ่งอีกครับ”
       
       “แล้วเขาก็ขอไปอยู่หลังบ้าน (เน้นเสียง) ถ้าพูดตรงๆ ก็คือ ห้องนั้นจะเป็นห้องที่ให้คนใช้อยู่ มันก็จะมีของบ้างอะไรบ้าง ซึ่งแกก็จะไปบอกนักข่าวว่าต้องไปนอนกับรองเท้าบ้าง เราเอาไปทิ้งไว้หลังบ้านบ้าง แล้วห้องที่แกอยู่มันจะเข้ามาในบ้านไม่ได้ เพราะห้องน้ำมันจะอยู่ในบ้าน แล้วเวลาจะมาเข้าห้องน้ำแกเคยถ่ายอุจจาระเรี่ยราดตามทางหลายครั้งเข้า ผมก็เลยบอกแกกว่าแม่ฉี่ อึ ใส่กระโถนมั้ยค่อยเอาไปทิ้ง มันก็ไม่ได้แปลกอะไร มันเป็นความสะดวกสบาย อันนี้คือผมขอแก้ที่แกบอกว่าผมไม่ให้เข้าไปอยู่ในบ้านก่อน”
       
       “พูดกันตรงๆ เรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้ มันเป็นเรื่องน้ำเน่ามาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว มันไม่ใช่ว่าคนเราอยู่ๆ จะไปยืนด่ากัน มันไม่ใช่ครับถ้าไม่มีสาเหตุ แต่สาเหตุอะไรผมขอไม่พูดก็แล้วกัน เอาเป็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมขอรับผิดคนเดียว มันต้องมีปากเสียงกันอยู่แล้วครับ แล้วที่เขาบอกว่าเมียผมด่าคำหยาบคาย แล้วที่แม่บอกว่าผมไม่เห็นเคยพูดเลยว่าเมียผมด่าแม่ อันนี้ผมพูดตรงๆ ผมกับเมียนี่อยู่ด้วนกันตลอดเวลา จะไม่อยู่ก็แค่ตอนเขาเข้าห้องน้ำครับ ผมถามหน่อยเถอะคนเป็นลูกถ้าเมียมาด่าแม่ตัวเองคนเป็นลูกทนได้เหรอ มันเป็นไปไม่ได้ครับ จริงๆ ผมไม่อยากขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ ขึ้นมา เอาเป็นว่าจะยังไงก็แล้วแต่ผมขอรับผิดครับ”
       
       “ต่อจากนี้ผมได้ปรึกษากับพี่เป็ด เชิญยิ้มแล้ว ก็คงจะต้องตามใจแม่ แต่ตอนแรกที่แกบอกจะไม่กลับมาอยู่กับผม แล้วเขาไปบอกว่าผมสอนลูกไม้ต้องเรียกเขาว่าย่านะอย่างนู้นอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ มันละครเกินไป มันไม่ใช่เลยครับ แต่ที่หลานไม่ค่อยได้สัมผัสกับย่าเพราะมันไม่มีความผูกพันกันไงครับ คนเราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันเลยทั้งชีวิต แล้วอยู่ๆ มีผู้หญิงแก่คนนึงมาบอกว่าเป็นย่าให้ไปกอดไปรักไปดูแล ผมว่ามันไม่ใช่ครับ”
       
       “คนก็ถามว่า 3 เดือนแล้วที่แม่ไปอยู่ที่วัดทำไมไม่ไปดูแม่ ผมบอกผมรู้ครับ แต่ผมพูดตรงๆ ผมทำงานคนเดียว ผมยุ่งมาก ตอนนี้ชีวิตผมสับสนมาก ยิ่งมีเรื่องแม่มาด้วยยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่ แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมไปครับ ให้นักข่าวไปด้วย หนึ่งที่แม่ผมเรียกร้องมาอยากให้ผมไปขอโทษที่ผมไม่รับเขาว่าเป็นแม่ ผมจะทำตาม สองที่แกบอกว่าอยากไปอยู่บ้านพักคนชราบางแค ซึ่งตอนนั้นถ้าไม่มีลูกหลานมาเซ็นทางโน้นไม่สามารถรับเอาไว้ได้ เพราะเดี๋ยวจะหาว่าไปขโมยแม่คนอื่นมากลัวเดือดร้อน”
       
       “แต่ถ้าพรุ่งนี้แกตกลงจะไปอยู่ผมก็จะเซ็นแล้วให้บ้านพักคนชรามารับแกไป จริงๆ เขาจะมารับหลายครั้งแล้วแต่แกก็ไม่ยอมไปเพราะแกรอให้ผมไปหาแก เพื่อจะตกลงกัน แต่มาเมื่อวานผมได้ยินมาว่าแกอยากจะขอเงินสักก้อนนึง แกจะไปซื้อบ้าน แล้วผมถามหน่อยว่าคนอายุปูนนี้แล้วจะไปซื้อบ้าน แล้วแกบอกอยากได้เงินจากผม 2 แสน ถามว่าถ้าจะเอาจริงๆ ผมไปกูหนี้ยืมสินมาได้ เพราะผมไม่มีหรอกครับ 2 แสน ผมไม่รวยครับ ผมทำวันใช้วัน ลูกผมหลายคน ผมพูดง่ายๆ ว่าผมไม่ยอมให้ลูกเมียผมอดละกัน ถึงผมจะไม่อิ่ม”
       
       “บางคนบอกว่าผมรักเมียหลงเมีย จะพูดแบบนั้นก็ได้ครับ แต่แม่ก็รักครับ แต่ผมถึงอยากถามว่าที่เขาทำผมเนี่ยเขาเห็นผมเป็นลูกหรือเปล่า คนเรามันมีความน้อยเนื้อต่ำใจด้วยกันทุกคนละครับ มันมีหลายเรื่องครับที่เขาทำกับผมมา แต่ผมไม่อยากพูด ผมจะผิด หรือแม่จะผิด ให้สังคมตัดสินเอง พูดไปก็สาวไส้ให้กากิน มันไม่มีประโยชน์ พรุ่งนี้ถ้าเขาขออะไรผมจะให้ครับ แต่ผมจะขอขัดอยู่อย่างนึง ก็คือที่แกจะไปเช่าบ้าน หรือไปซื้อบ้านเนี่ย ผมถามหน่อยคนแก่อายุขนาดนี้ใครจะดูแล ใครจะซื้อข้าวให้กิน แต่ถ้าไปอยู่บ้านบางแคจะมีคนดูแลหมด แต่ถ้าแกไปอยู่คนเดียวล้มหัวฟาดตายไปใครจะมาบอก แล้วผมก็จะส่งเสียเท่าที่ผมทำได้ครับ แต่ผมว่าไปอยู่ในสถานที่แบบนั้นคงไม่ได้ใช้เงินอะไรมากหรอกครับ ถ้าว่างก็จะไปเยี่ยมครับ ถ้าว่างนะครับ แต่ยังไงก็จะให้ลูกผมไป”
       
       “แต่ถ้าแกไม่รับข้อเสนอนี้ผมก็อยากให้สังคมตัดสินใจเองก็แล้วกัน แต่ผมไม่เห็นด้วยที่ไปเช่าบ้านอยู่ เพราะถ้าเป็นอะไรไปก็ไม่มีใครรู้ ข่าวที่ออกไปมันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด แล้วผมยอมรับผิดคนเดียวครับ ผมไม่เคยพูดว่าเขาไม่ใช่แม่ พรุ่งนี้ผมจะพาเมียไปด้วยครับ แล้วก็มีพี่เป็ดไปด้วย ก็บอกนักข่าวด้วยถ้าจะไปที่วัดก็ประมาณ 10 โมงเช้า เพราะบ่ายผมไปถ่ายละครที่กาญจนบุรี”
       
       “เรื่องนี้ไม่กระทบงานครับ เพราะผมคุยกับพี่เป็ดแล้ว เรื่องงานผมไม่เคยเสียครับ ถามกองละครไหนๆ ได้ครับ ช่วงนี้ผมเครียดมากครับ เพราะเป็นคนเซนซิทีฟเรื่องแบบนี้ครับ นอกไม่หลับเลยครับ จริงๆ ผมอยากจะร้องไห้นะเนี่ย สื่อจะได้เห็นใจผมบ้าง เพราะเห็นแม่ร้องไห้ทุกฉากเลย แต่ผมไม่อยากร้อง เอาอย่างนี้ละกัน เมื่อวานไปซื้อกับข้าวที่ตลาดพ่อค้าแม่ค้าจะรุมกระทืบอ่ะ เพราะบทที่เล่นส่วนมากเป็นโจรเป็นตัวโกง พ่อค้าแม่ค้ายังถามเลยว่านึกว่าเลวแต่ในทีวีนี่เลวจริงเหรอเนี่ย มาถามผมแบบนี้ แต่ผมก็ไม่โทษเขาหรอกครับ เพราะพวกเขาไม่รู้ความจริง”
       
       “ผมอยากจะบอกแก่สังคมว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มันเป็นเรื่องครอบครัว ผมไม่โทษนักข่าวที่กระทุ้งไปแบบนั้น ผมถามหน่อยในสังคมนี้เรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้ใครไม่มีบ้าง แต่ถามหน่อยถ้าผมไม่ได้เป็นโป๊งเหน่ง ผมถามหน่อยนักข่าวจะมานั่งแบบนี้มั้ย ถ้าผมเป็นใครก็ไม่รู้จะมีคนมาสนใจผมมั้ย แต่ผมคิดว่าเรื่องของผมมันเป็นความผิดของผมครั้งแรก ผมยืนยันไม่ได้ไล่แม่นะครับ แกหนีออกไปแบบนี้จะ 10 หนแล้ว ไปถามที่สถานีตำรวจที่คันนายาวที่ผมอยู่ก็จะรู้ เขาไปแจ้งตำรวจมาจับผม ตำรวจถามว่าจะให้มาจับผมเรื่องอะไร เขาก็บอกว่าในฐานะที่ไม่ได้เลี้ยงดูพ่อแม่ ปล่อยให้พ่อแม่อยู่ข้างนอก แต่ตำรวจบอกว่ากฎหมายข้อนี้ไม่มี แต่คุณโป๊งเหน่งจะฆ่าคุณยายแบบนี้ถึงจะมาจับคุณโป๊งเหน่งได้ คิดดูสิเขาไปแจ้งความให้ตำรวจมาจับผมซึ่งผมเองยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วมีนักข่าวไปถามเขาว่าลูกคุณยายชื่อเสียงเสียหายแบบนี้ คุณยายเป็นแม่คิดยังไง เขาตอบว่าช่างมันสิ เรื่องของมัน โห...แม่ตอบกับนักข่าวแบบนี้เลยเหรอ”
       
       ยืนยันว่าแม่พาเมียไปทำแท้งจริงๆ
       “ตอบจริงเลยนะ จริงครับ...แต่ไม่อธิบายนะครับว่าเรื่องอะไร ที่ไม่ห้ามเพราะวันนั้นผมไม่อยู่ครับ กลับมาเห็นแค่ว่าทำไมเมียผมโทรมขนาดนี้ ก็เลยรู้ว่าเป็นอะไร แล้วเพื่อนข้างบ้านที่พาไปก็ยังมีชีวิตอยู่ครับ ก็สำเร็จทั้ง 2 ครั้ง”
       
       สัมภาษณ์มาถึงตรงนี้ ผู้สื่อข่าวจึงเชิญภรรยาของ “โป๊งเหน่ง” มาเปิดใจถึงข่าวคราวที่เกิดขึ้น เริ่มที่เรื่องที่สามีจะพาไปขอขมาแม่จะยอมไหม เจ้าตัวก็เผยว่า...
       ภรรยาโป๊งเหน่ง : ก็ยอมค่ะยอม เขาบอกว่าเราต้องยอมรับผิดหมดทุกสิ่งที่แม่ทำกับเรา แต่เราไม่สามารถพูดออกสื่อได้ (เสียงเริ่มสั่นเครือ) เสียใจนะ กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะที่แม่พูดมันไม่จริงเลย (ร้องไห้) ตอนแม่มาอยู่ด้วยก็ให้เงินใช้ 3 วัน 1 พันบาท และไม่เคยไล่เขาออกจากบ้านเลย มีแต่แม่หนีออกไปเอง”
       
       “แต่เคยทะเลาะกันบ้าง คือแม่ด่าเราก่อน แล้วแม่ทำกับเราไม่เป็นไรไง แต่แม่ทำกับลูกเรา (ร้องไห้) คือเราเป็นคนรักลูกมาก แม่เอาร้องเท้าเขวี้ยงท้องเรา แรกๆ ก็พาเราไปทำแท้ง เขาบอกว่าไม่ต้องมีลูก ถ้ามีลูกแล้วจะเอาเงินที่ไหนกินกัน ซึ่งตอนนั้นแม่รวยมาก แต่เราก็ยอมเพราะว่าเขาคือแม่ของสามีเรา แต่เขาไม่ได้เลี้ยงแบบลูกสะใภ้นะ คือเราก็ต้องซักกางเกงในให้แม่ ซักให้พ่อเลี้ยง ถ้าวันไหนเก็บผ้าช้าแม่ก็ด่าเสียๆ หายๆ ที่ผ่านมาก็ทนทุกอย่างเพราะว่าเรารักแฟนเรา คือคุณโป๊งเหน่งเป็นคนดี เราอยู่กันมาแบบลำบากมาก เราก็เลยต้องรักกันขนาดนี้”
       
       “ถ้าเจอแม่ก็จะขอโทษในสิ่งที่เราผิดพลาดไป แต่คิดว่าแม่ไม่ให้อภัยอยู่แล้ว ตั้งแต่เราเข้าไปในบ้านครั้งแรก แม่ก็ไม่ชอบเราก่อนแล้ว เพราะแม่ไม่อยากให้ลูกชายได้เราเป็นเมีย ก็เคยบอกคุณโป๊งเหน่งว่าในเมื่อแม่ไม่ชอบ เธอก็เลิกกับฉันไปแล้วกัน เพื่อความสบายใจของแม่เธอ แต่คุณโป๊งเหน่งไม่ยอม แต่แม่ก็เคยให้เราเลิกกัน ตั้งแต่ตอนที่เราตั้งท้องแล้ว แต่คุณโป๊งเหน่งบอกว่าผมจะเลิกได้ยังไง ลูกผมอยู่ในท้องเขา ผมต้องรับผิดชอบ คุณโป๊งเหน่งก็เลยต้องหนีออกมาจากบ้านด้วยกัน”
       
       ต่อคำถามที่ว่าแล้วสิ่งที่แม่พูดมีความจริงไหม?
       ภรรยาโป๊งเหน่ง: “มันไม่จริงเลย...(สะอื้นไห้) พอถึงเวลาเราก็จะบอกลูกว่าให้ไปซื้อข้าวให้ย่าหน่อยนะ ถามย่าว่าอยากกินอะไร ลูกชายก็บอกว่าไม่ต้องถามหรอก ไปซื้อมาให้แล้ว พอไปซื้อมาแกก็บอกว่าข้าวแข็งไป เผ็ดไปมั่ง บางวันซื้อกับข้าวมาแกก็ด่าว่าซื้อมาทำไมไม่ชอบ จะกินน้ำพริก เราก็สั่งลูกว่าพรุ่งนี้ให้ไปซื้อน้ำพริกมาให้ย่านะลูก แกก็บอกว่าเผ็ด”
       
       โป๊งเหน่ง : “แม่บอกว่าให้แกกินแต่ข้าวกล่อง ผมไปซื้อข้าวมากิน ผมก็กินข้าวกล่องนะ แล้วก็เอามาเทใส่จานก็กลายเป็นข้าวจานแล้ว ผมคิดว่าทุกวันนี้ทุกคนก็กินข้าวใส่กล่องหมดนะ ผมก็ไม่เข้าใจที่แกพูดมาอย่างนี้ ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เพราะผมไปซื้อมาจากข้างนอกมันก็ใส่กล่องมาเหมือนกัน แล้วมีข่าวบอกว่าเมียผมจะคิดฆ่าแก เอาน้ำยาไปราดพื้นให้แกลื่นล้มหัวแตกตาย แล้วนี่มันละครหรือเปล่า”
       
       ภรรยาโป๊งเหน่ง : “วันนั้นลูกสาวเขาซักถุงเท้าพ่อ แล้วน้ำผงซักฟอกก็ราดทิ้งไปตรงหน้าห้องแม่ แล้วพอเป็นแดดมันก็แห้ง แล้วแกก็คงเอาน้ำไปราดแล้วเกิดลื่นขึ้นมา แกก็มาหาว่าคิดฆ่าแก ถ้าเราทำขนาดนั้นคุณโป๊งเหน่งก็คงจะ...”
       
       โป๊งเหน่ง : “(ถึงตรงนี้พูดสวนขึ้นมาทันที) ผมก็คงต้องฆ่าเมียผมก่อนแล้วล่ะ ถ้าเมียผมวางแผนขนาดนั้นน่ะ”
       
       ภรรยาโป๊งเหน่ง: “เมื่อคืนเขายังบอกเลยว่า ถ้าเธอทำให้ฉันเสียชื่อเสียงขนาดนี้ฉันจะบีบคอเธอให้ตายเลย ยอมรับค่ะว่าแอบมีรำคาญแม่บ้าง เหมือนลูกสะใภ้กับแม่ผัว บางทีแกก็บ่นหลานเล่นกันเสียงดัง”
       
       โป๊งเหน่ง : “เพราะเขาไม่มีความผูกพันไงครับ อีกอย่างก็คงไม่ชอบเด็ก ก็แล้วแต่แกจะว่าไปต่างๆ นานา หนวกหูบ้างอะไรบ้าง จะไปโทษแกก็ไม่ได้เพราะแกเคยอยู่ในที่ที่แกมีเงิน จะทำอะไรก็ได้ คือแกปลงไม่ลงไง ทุกวันนี้ที่ผมรู้ข่าวว่าแกไปอยู่วัดผมก็ดีใจนะว่าแกคงปลงได้แล้ว คงตัดทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้ว หรือไม่ก็อาจจะบวชชีแน่เลย แต่สรุปแล้วก็ไม่ใช่”
       
       ขณะที่ในวันเดียวกัน ยายอ้อยได้เดินทางมารายการ “ปากโป้ง” ทาง ช่อง8 อาร์เอส โดยมี “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” และ “หนิง ปณิตา ธรรมวัฒนะ” เป็นพิธีกร ซึ่งนอกจากยายอ้อยจะซัดกลับลูกชายในไส้น้ำตานองหน้าแล้ว เจ้าตัวยังโต้กลับเรื่องที่ลูกสะใภ้แฉว่าตนไล่ให้ไปทำแท้งด้วยว่าไม่จริง
       
       การใช้ชีวิตอยู่ในบ้านของโป๊งเหน่งและภรรยา ยายอ้อยต้องอาศัยอยู่ในห้องนอกบ้าน ซึ่งใช้เป็นที่วางเครื่องซักผ้า และเก็บของ โดยภรรยาของโป๊งเหน่งล็อกประตูบ้านไม่ยอมให้ตนเข้า เวลาที่จะถ่ายต้องถ่ายในกระโถน แล้วต้องนำไปทิ้งเอง ส่วนการเลี้ยงดูตนได้รับเงินจากลูก 200-300 บาท ซึ่งต้องเดินออกไปซื้อข้าวกล่องทานเอง นอกจากนี้ ลูกสะใภ้ก็ยังไม่ยอมให้โป๊งเหน่งเรียกตนว่าแม่ แต่ให้เรียกว่าป้าแทน”
       
       ตนถูกลูกสะใภ้ไล่ออกจากบ้านถึง 5 ครั้ง โดยครั้งแรกๆ ได้หนีออกไปอยู่กับบ้านเพื่อน แต่ลูกชายก็เรียกให้กลับมา และครั้งล่าสุด จึงตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจาก สนง.เขตคลองสามวา ให้ช่วยหาที่อยู่ให้ เพราะถูกลูกสะใภ้ไล่ออกจากบ้าน โดยพูดว่า “บ้านนี้ไม่ใช่บ้านลูกมึง แต่เป็นบ้านกู” ทาง สนง.เขตได้ติดต่อบ้านพักคนชราบางแคให้ แต่ต้องให้ลูกชายมาเซ็น เมื่อลูกชายเดินทางมาพร้อมภรรยา แต่ลูกชายกลับไม่เซ็นเอกสารให้ เนื่องจากภรรยาพูดว่า “มึงอย่าเซ็น มันเป็นอะไรกับมึง” หลังจากนั้น ทาง สนง.จึงพาตนไปฝากไว้ที่วัดพระยาสุเรนทร์ เขตคลองสามวา
       
       ต่อข้อซักถามที่ว่า โป๊งเหน่งบอกกับสื่อว่า ยายอ้อยทิ้งเขาตั้งแต่ยังเด็ก เจ้าตัวก็แจงว่า ตนได้เลี้ยงบุตรชายมาจนกระทั่ง ป.3 ก็ส่งให้เขาไปเรียนโรงเรียนประจำ ในจังหวัดกาญจนบุรี จนกระทั่ง ม.1-2 ตนจึงไปรับกลับมาเลี้ยง หลังจากนั้น โป๊งเหน่งก็ไปอยู่กับพ่อของเขาบ้าง พร้อมเผยตนต้องขายบ้านหลังเดิมของตนเอง เพราะโป๊งเหน่งมาบอกให้ตนขาย เพราะอยู่แล้วไม่รวย พร้อมกับขอเงิน 50,000 บาท เพื่อจะเอาไปคืนให้แก่พี่สาวตน แต่โป๊งเหน่งกลับไม่ให้ และบอกว่า “แม่ต้องทำให้ลูก ไม่ใช่ลูกทำให้แม่” แล้วโป๊งเหน่งยังนำเงินที่ขายบ้านได้ไปซื้อรถ
       
       ส่วนที่โป๊งเหน่งบอกว่าจะมารับกลับนั้น ยายอ้อยยินดีกลับ แต่จะกลับไปอยู่บ้านเดียวกับลูกชายหรือเปล่านั้น ขอดูคำพูดของลูกชายในวันพรุ่งนี้ก่อน สุดท้าย หากลูกชาย และลูกสะใภ้ขอขมา และดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของยายอ้อยให้ดีขึ้น ยายอ้อยก็ยินดีจะให้อภัยลูกๆ แต่ขอปฏิเสธที่ลูกสะใภ้บอกว่าตนเคยให้คนรู้จักพาไปทำแท้งไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยทำเช่นนั้น

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)