Author Topic: “บอย โกสิยพงษ์” เผยเฉียดตายจากอุบัติเหตุ ปลงชีวิตแสนสั้นต่อไปจะให้เวลาครอบครัวมากขึ้น  (Read 798 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


“บอย โกสิยพงษ์” เปิดเผยถึงนาทีเฉียดตายจากอุบัติเหตุในอเมริกา ว่า ไม่คิดว่าจะรอดตาย คงเป็นเพราะพระเจ้าคุ้มครอง บอกเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ได้คิดอะไรมากขึ้น คนเราบางทีก็อยู่กับอนาคตมากไปจนลืมคิดถึงปัจจุบัน ลืมคิดถึงครอบครัว ต่อไปจะให้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้น เพราะชีวิตสั้นนัก
      
          หลังจากที่ “บอย โกสิยพงษ์” ชีวิน โกสิยพงษ์ นักแต่งเพลงชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความและภาพผ่านทางทวิตเตอร์ ว่า ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนที่อเมริกา ขณะกำลังขับรถไปซูเปอร์มาร์เก็ตกับลูกสาว ล่าสุด บอยก็ได้เปิดแถลงข่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริษัท เลิฟอิส ซอยทองหล่อ 23 โดยบอยเปิดเผยถึงนาทีเฉียดตาย ว่า ไม่คิดว่าจะรอดตายบอกเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ได้คิดอะไรมากขึ้น คนเราบางทีก็อยู่กับอนาคตมากไป จนลืมคิดถึงปัจจุบัน ลืมคิดถึงครอบครัว ต่อไปจะให้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้นเพราะชีวิตสั้นนัก
      
       “วันที่ชน คือ วันพุธที่ 15 สิงหาคม เวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ถ้าเทียบเวลาในเมืองไทยก็คงจะเป็นตอนเที่ยงครึ่งของวันที่ 16 เป็นแยกที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก วันนั้นผมกับลูกสาวจะไปซื้อของกันที่ซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นร้านที่เราไม่ค่อยได้ไปเลยใช้จีพีอาร์เอสนำเราไป ระหว่างที่เราขับไปก็จะไปเจอแยกที่มันเป็น 5-6 แยก บางทีพวกที่มาเฉียงๆ ก็จะดูไม่ออกว่าป้ายนี้เป็นป้ายเขาหรือป้ายเรา เราก็ยังไปไม่ถึงป้ายไฟแดงของเรา แล้วก็เห็นมีรถพุ่งชนเข้ามายังไม่แตะเบรกเลย ดูอีกทีก็ชนแล้ว เขาไม่เบรกเลยเราก็ไม่กล้าพุ่งไปข้างหน้าก็เลยชน ซึ่งจุดที่เราอยู่ คือ มันยังไม่ถึงแยกเลย ผมยังอยู่ในทางของผมปกติ แต่มันจะมีแยกอีกแยกนึงที่ประหลาดที่สามารถพุ่งเข้ามาได้ แล้วเพิ่งทราบว่าคนที่ขับมาเขาก็ใช้โทรศัพท์อยู่”
      
       “แล้วที่ผมเชื่อว่าพระเจ้าคุ้มครองผม เพราะว่าระหว่างที่รถพุ่งมามันห่างกันประมาณ 2 เมตร ผมและลูกสาวก็เห็นด้วยกันเราลุ้นระทึกเพราะรถมันค่อยๆ เข้ามา เราก็เชื่อว่า พระเจ้ามาช่วยกันเราไว้ เพราะของในรถพังหมดแต่คนไม่มีอะไร ในตอนนั้นก็คิดตลอดว่าพระเจ้าช่วยด้วย แล้วก็ช่วยคุ้มครองลูกเราด้วย ตอนนั้นก็คิดเหมือนกันว่าตายแน่ๆ เพราะมันพุ่งมาเร็วเหลือเกิน ลูกเขาตกใจเพราะโดนแอร์แบ็ก ก็โชคดีที่รถพุ่งชนฝั่งผม”
      
       “ลูกก็จะเป็นห่วงผมเพราะเป็นโรคเส้นโลหิตในสมองด้วย ลูกเขาไม่เป็นห่วงตัวเขาเองเลย ผมเองรู้สึกว่าเราต้องตายแน่ แต่เราเป็นห่วงลูกเลยขอให้พระเจ้าช่วยด้วย ตอนรถชนไปแล้วลูกก็ถามเราก็ตอบไม่ได้ เพราะเราไม่รู้สึกอะไรเลย มันว่างไปหมด พอใกล้เหมือนรถมันค่อยๆ สโลว์เข้ามา ก็คิดว่าจะโดนอะไรบ้าง แต่ไม่บาดเจ็บมีกระแทกนิดหน่อย น้องก็มีรอยบาดเล็กๆ นิดเดียว”
      
       “พอแอร์แบ็กคุมเราก็ให้ลูกเปิดประตูออกไปจะได้หายใจ เพราะมันมีเขม่าควัน พอมีคนมาเราก็ตะโกนให้ช่วยลูกเราด้วย ตัวเราเองไม่ทราบว่าเราจะเป็นอะไรบ้าง แต่เราขอให้ลูกเราปลอดภัย เราก็ไม่กล้าออกไปแค่เปิดกระจกให้ควันออกไป เพราะเราไม่กล้าออกพอออกมาก็เช็กตัวเองก็ปกติ”
      
       “ก็เช็กร่างกายเรียบร้อยแล้วครับ แต่เช็กอย่างอื่นนะครับ เพราะร่างกายไม่เป็นอะไร ส่วนลูกไม่เช็ก เพราะดูแล้วไม่เป็นอะไร กลัวมาโรงพยาบาลแล้วติดโรค”
      
       “ส่วนคู่กรณีเขายอมรับผิด ก็จบแล้วไม่ต้องไปแจ้งความอะไร ประกันของรถเรารถเขาก็ไปคุยกันเอาเอง ประกันก็เอารถคันใหม่มาให้ภายใน 2 ชั่วโมงก็จบแล้ว เขาก็มาขอโทษใหญ่เลย หน้าเขาเศร้ามาก เขาก็เสนอว่าจะไปโรงพยาบาลไหม เราก็บอกว่าไม่เป็นอะไร เราไม่ได้เป็นอะไรก็ไม่รู้จะไปเอาอะไรจากเขา ก็คิดว่าเขาคงได้เรียนรู้อะไร เขาเศร้ามาก เขาไม่ได้เมาแต่ขณะนั้นเขาใช้โทรศัพท์”
      
       “เหตุการณ์ครั้งนี้ มันทำให้เราตระหนักเลยว่าอุบัติเหตุเกิดกับเราได้ทุกเมื่อ เหตุการณ์นั้นเราตายได้แน่ๆ แล้วเวลาที่ผมอยากจะใช้กับครอบครัวที่ผมสงวนเอาไว้ก่อน เพราะมัวแต่ทำงานก็คงจะไม่ได้ใช้ หลังจากนี้ ก็คงเปลี่ยน พระเจ้าอยากจะบอกเราให้เราเปลี่ยนแปลงไม่ใช่จะมุ่งแต่อนาคตอย่างเดียวปัจจุบันเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วย เราเองและครอบครัวก็มีความศรัทธาในพระเจ้าสูงมากขึ้นเพราะพอไปจับดูรถแล้วเรไม่น่าจะรอดมาได้อย่างง่ายดายจริงๆ โดยที่เราไม่เป็นอะไร มันสยองมากเลยนะ ที่เห็นชิ้นส่วนของรถคนอื่นพุ่งชนเข้ามาในรถของเรา กล่องของขวัญภรรยาผมพังยับไปหมด แต่ตัวคนไม่เป็นอะไรเลย”
      
       “คือ บางครั้งเราก็ต้องมาคิดใหม่ เราหวังดีกับครอบครัว เราคิดว่าเราต้องเตรียมอนาคตไว้อย่างนี้อย่างนั้น แต่ปรากฏว่า เราละทิ้งปัจจุบันเราไม่ได้ดูแลเขาอย่างดีเท่าที่เราควรจะดูแล เพราะไปมุ่งอยู่กับอนาคต บางทีเราอาจจะอยู่ไม่ถึงอนาคตก็ได้ ฉะนั้น เราดูแลวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่า”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)