Author Topic: HTC คางเหลือง หุ้นดิ่งต่ำสุดใน 4 ปี  (Read 997 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


Peter Chou ซีอีโอเอชทีเมื่อครั้งขึ้นเวทีเปิดตัวสมาร์ทโฟนตระกูล One




สัญลักษณ์เอชทีซี บริษัทสมาร์ทโฟนอันดับ 4 ของโลกที่ประสบภาวะหุ้นดิ่งต่ำสุดในรอบ 4 ปี

นักลงทุนหวั่นใจอนาคตของเอชทีซี (HTC) ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือสัญชาติไต้หวันซึ่งประกาศปรับลดคาดการณ์รายได้ในไตรมาส 3 ลง ส่งผลให้มูลค่าหุ้นเอชทีซีดิ่งต่ำสุดในรอบ 4 ปี
       
       แม้เอชทีซีจะมีดีกรีเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับที่ 4 ของโลก และเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 2 ในเอเชีย แต่การแข่งขันดุเดือดในวงการสมาร์ทโฟนซึ่งมีแอปเปิลและซัมซุงเป็นผู้เล่นหลักทำให้เอชทีซีประกาศยอมรับว่าอาจทำยอดจำหน่ายลดลงในไตรมาส 3 ของปีนี้ (ก.ค.-ก.ย. 2012) โดยเชื่อว่ารายรับของบริษัทจะลดลงถึง 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
       
       สัดส่วนดังกล่าวเลวร้ายกว่าที่นักวิเคราะห์เคยคาดการณ์ ซึ่งทำให้มีแนวโน้มว่าเอชทีซีอาจต้องประกาศภาวะขาดทุนในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ทั้งหมดนำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน สะท้อนออกมาในรูปมูลค่าหุ้นที่ตกต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี โดยลดลง 7% ปิดที่ 240.50 เหรียญไต้หวัน ตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2008
       
       ไมเคิล ออน (Michael On) กรรมการบริหารบริษัทวิจัยบียอนแอสเสตแมเนจเมนต์ (Beyond Asset Management) วิเคราะห์ว่า ความหวั่นใจของนักลงทุนเกิดจากทิศทางที่ไม่สู้ดีของเอชทีซี โดยเฉพาะแนวโน้มที่มองว่าเอชทีซีสามารถแข่งขันกับซัมซุงได้ยาก แม้เอชทีซีจะยังรักษาสถานะของบริษัทให้สามารถทำกำไรได้อยู่
       
       เอชทีซีมีอดีตเป็นผู้รับจ้างผลิตโทรศัพท์มือถือตามสัญญา (contract maker) ก่อนจะสามารถเติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่องช่วงปี 2010 และ 2011 จนขึ้นชั้นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแถวหน้าของโลก ในช่วงเวลาดังกล่าวมูลค่าหุ้นของเอชทีซีสามารถดีดตัวเพิ่มขึ้น 3 เท่าในรอบ 14 เดือนจนทำนิวไฮได้ที่ 1,238.10 เหรียญไต้หวันช่วง เม.ย. 2011 ซึ่งเป็นช่วงที่ยอดขายสมาร์ทโฟนเอชทีซีสามารถเติบโต 4 เท่าตัวเพราะความต้องการสมาร์ทโฟนทางเลือกของผู้บริโภค
       
       แต่ในวันนี้อิทธิพลของเอชทีซีเริ่มเสื่อมลง ในขณะที่ไอโฟนของแอปเปิลและสินค้าตระกูลกาแล็กซีของซัมซุงครองตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดนี้เอชทีซียอมรับความจริงแต่โดยดีจนประกาศปรับลดคาดการณ์รายได้ในไตรมาส 3 ของปีนี้ลง มูลค่ารายได้เบื้องต้นที่เอชทีซีคาดการณ์ใหม่คือ 7-8 หมื่นล้านเหรียญไต้หวัน (ราว 7-8 หมื่นล้านบาท)
       
       รายได้ที่เอชทีซีคาดว่าจะทำได้ในช่วง 3 เดือนถัดจากนี้นั้นน้อยกว่า 9.1 หมื่นล้านเหรียญไต้หวันที่เคยทำได้ในช่วงไตรมาส 2 (เม.ย.-มิ.ย. 2012) และน้อยกว่านักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะทำได้ 9.2 หมื่นล้านเหรียญไต้หวัน ตามการสำรวจของสถาบันทอมป์สันรอยเตอร์ส (Thomson Reuters)
       
       เหตุที่เอชทีซีปรับลดเป้าหมายรายได้ในไตรมาสนี้คือสมาร์ทโฟนตระกูลวันหรือ HTC One ที่มีแนวโน้มต้องสู้กับสินค้าดังอย่างกาแล็กซีเอสทรี (Galaxy S3) และกาแล็กซีโน้ตทู (Note 2) สมาร์ทโฟนใหม่ที่มีข่าวว่าซัมซุงจะเปิดตัวช่วงเดือน ก.ย. รวมถึงไอโฟนรุ่นใหม่ที่ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า iPhone 5 ทั้งหมดจะแข่งขันอย่างรุนแรงมากในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
       
       ภาพรวมของเอชทีซีที่ดูจะไม่สามารถรั้งอันดับกลุ่มผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนทำให้หุ้นของบริษัทถูกลดระดับความน่าเชื่อถือ โดยนักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นดึงหุ้นของเอชทีซีมาอยู่ในกลุ่ม “ขาย” เพื่อแนะนำให้นักลงทุนเทขายออกเพื่อป้องกันการขาดทุนในอนาคต
       
       ทั้งหมดนี้นักวิเคราะห์เชื่อว่าเอชทีซีมีจุดอ่อนที่แบรนด์สินค้า เพราะแม้สมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงของเอชทีซีอย่างเอชทีซีวันเอ็กซ์ (HTC One X) จะมีคุณสมบัติดีเยี่ยม แต่ผู้บริโภคจำนวนมากกลับมองข้ามไป เพราะแบรนด์ “วัน” ของเอชทีซีไม่หวือหวาเท่าคู่แข่งอย่าง “กาแล็กซี” หรือ “ไอโฟน” ซึ่งหากเอชทีซีไม่สามารถแก้ไขช่องโหว่นี้ได้ โอกาสในการยืนบนสมรภูมิสมาร์ทโฟนของเอชทีซีก็จะน้อยลง
       
       นักวิเคราะห์คาโรไลนา มิลาเนซี (Carolina Milanesi) จากการ์ทเนอร์ สำนักงานแคลิฟอร์เนีย อธิบายถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนปัจจุบันได้ยกระดับการต่อสู้ ซึ่งผู้เล่นจะไม่สามารถใช้กลยุทธ์เดิมที่เคยทำสำเร็จเมื่อ 4 ปีก่อนมาจัดการคู่แข่งได้อย่างเคย แต่ผู้เล่นทั้งหมดต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การต่อสู้เพื่อให้อยู่รอด
       
       วันนี้เอชทีซีเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับที่ 4 ของโลก โดยบริษัทวิจัยไอดีซี (IDC) สำรวจพบว่าซัมซุงสามารถจัดส่งสมาร์ทโฟน 50.2 ล้านเครื่องสู่ตลาดโลกในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของซัมซุงเติบโตเป็นอันดับ 1 ที่ 33% ขณะที่ส่วนแบ่งของแอปเปิลมี 17% อันดับ 3 คือโนเกียซึ่งครองส่วนแบ่ง 6.6% สำหรับเอชทีซีถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 4 ส่วนแบ่งคือ 5.7% ลดลงจาก 11% ที่เคยมีในปี 2011
       
       อันดับ 5 คือแซตทีอี สัญชาติจีนที่สามารถเป็น 1 ใน 5 ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนระดับโลกได้เป็นครั้งแรก มีส่วนแบ่ง 5.2% เพิ่มจากปีก่อนหน้าที่มี 1.8%
       
       Company Related Link :
       HTC

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)