“อ๋อม อรรคพันธ์” เปิดซิงโดดเล่นหนังร่วมทุนระหว่าง ไทย-จีน เป็นเรื่องแรกในชีวิต รับกลัวและหนักใจเรื่องภาษา แต่มองเป็นเรื่องดีที่ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ให้ตนเอง พร้อมปัดไม่รู้เป็นตัวสำรองเสียบแทน “เก้า จิรายุ” ที่คิวไม่ว่าง ส่วนข่าวค่าตัว 10 ล้านก็ไม่จริง ได้เล่นภาพยนตร์ร่วมทุนระหว่าง ไทย-จีน ทำเอาพระเอกลูกหม้อโพลีพลัส “อ๋อม อรรคพันธ์ นะมาตร์” ดีใจเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตแล้ว ยังถือว่ากึ่งๆ ได้โกอินเตอร์ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เตรียมฉายในจีนด้วย แถมนักแสดงในเรื่องยังมีทั้งดาราจีนและฮ่องกง แต่ทว่ากลับมีข่าวตามออกมาว่า ที่อ๋อมได้เล่นเรื่องนี้เป็นการมาเสียบแทนหนุ่ม “เก้า จิรายุ ละอองมณี” ที่ไม่สามารถเคลียร์คิวได้ อีกทั้งตกลงค่าตัวไม่ลงตัว ล่าสุดได้เจออ๋อมในงาน “จิบชาลั้นลาปาร์ตี้ม่วนใจ๋” ของละคร “รักออกอากาศ” ที่เจ้าตัวเล่นเป็นพระเอก ก็เลยให้อ๋อมเคลียร์ประเด็นดังกล่าวซะเลย
“เป็นหนังร่วมทุนระหว่างไทยกับจีนติดต่อมา ตัวผมเองยังงอยู่เลย ใกล้จะเปิดกล้องแล้วครับ อีกวันสองวันนี้จะถ่ายแล้ว มีถ่ายที่เมืองไทยและที่เมืองจีนด้วย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นที่เมืองไทยครับ เริ่มถ่ายในไทยก่อน มีที่จีนด้วย 1-2 คิว ไม่เยอะมาก เป็นหนังแนวลึกลับซับซ้อน รู้แค่ว่าเล่นเป็นบอดี้การ์ด แต่ผมยังบอกอะไรมากไม่ได้”
“ส่วนบทบาทที่ได้รับโดดเด่นไหม ผมว่าเป็นการแชร์บทครับ คือไม่มีใครเยอะกว่าใคร อย่างที่บอกคือเป็นหนังที่มีคนเล่นหลายคน บทเด่นก็มีหลายคน และบทหลักจะเป็นผู้หญิงที่เป็นคนจีน คนฮ่องกง แต่ไม่ทราบว่าเป็นใครครับ ผมไม่เคยเจอ เห็นแต่ในรูป และมีคนไทยร่วมแสดงด้วยครับ ส่วนเป็นใครบ้างผมยังไม่เห็นเลยครับ”
“เรื่องนี้ผมให้ทางผู้ใหญ่เป็นคนคุย ผมยินดีเล่นอยู่แล้ว เพราะถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ให้กับเรา แล้วเราจะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มมากขึ้น จริงๆ ผมก็รู้สึกดีใจนะครับที่มีโอกาสที่ได้เล่นหนังที่เป็นหนังร่วมทุนแบบนี้ ตื่นเต้น ต้องขอบคุณทางผู้ใหญ่มากครับ เริ่มมาคิดแล้วว่าต้องทำยังไงต่อไป เพราะว่าเป็นเรื่องของการสื่อสารคนละภาษาด้วยก็จะลำบากหน่อย”
“อย่างที่บอกภาษา นั่นคือปัญหาเลยครับ เพราะภาษาเขาให้เราพูดไทยไป เขาจะพูดจีนกลับมาอะไรอย่างนี้ เราก็ต้องรู้บ้างว่าภาษาจีนที่เขาพูดแล้วภาษาไทยหมายความว่าอะไร แต่คงไม่ต้องไปเรียนภาษาจีนเพิ่มเติม คือแค่เรารู้คำแปลว่า ภาษาจีนที่เขาพูดคืออะไร ผมว่ามันค่อนข้างยาก ก็กลัวเหมือนกันนะบอกตรงๆ เพราะเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับเรา ไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน แล้วอีกอย่างคือเป็นหนังเรื่องแรกที่ได้เล่นเลย ผมไม่เคยเล่นหนังมาก่อนครับ”
“ภาษาก็หนักใจนะ แต่ผมไม่อยากเอาความหนักใจมาเป็นอุปสรรคในการทำงานครับ ผมว่าควรเปิดกว้างเพื่อเขาจะมีวิธีบอกเองว่าจะต้องสื่อสารยังไง จะมีคนแปลให้เราแบบนี้นะ แล้วเราต้องพูดแบบนี้นะ เราทำอย่างนี้นะ แต่ในเรื่องเราพูดภาษาไทยแล้วพากย์ทับ เหมือนกับว่ามาฉายที่ไทย เราก็พูดไทย แล้วพากย์ทับของคนจีนที่พูดจีนครับ”
“เรื่องจะต้องเตรียมตัวยังไง ผมไม่สามารถบอกได้ เพราะว่าผมไม่เคยเล่นหนังมาก่อน แล้วก็ไม่เคยทำงานกับคนจีนมาก่อน คือใจจริงเราก็อยากเตรียมตัวนะ แต่ไม่รู้จะเตรียมตัวยังไง เพราะว่าเราก็เป็นศูนย์ว่างไป แล้วก็ไปรับสิ่งใหม่ๆ ใส่เข้ามา เรียนรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมว่ามันเป็นการดีกว่าที่เราจะเตรียมตัวไปเอง ให้เขาสอนเรามาเรื่อยๆ แล้วปรับตัวเข้าหาเขา”
“คิดว่าหนังน่าจะฉายภายในปีนี้ครับ คือที่เขาวางแพลนไว้ปลายปี แต่เท่าที่ทราบก็มีแค่ไทยกับจีนเท่านั้น ส่วนที่ว่าจะโปรโมท 5 ประเทศในเอเชีย ได้ยินเขาว่าอย่างนั้นครับ แต่ผมยังไม่ทราบรายละเอียดอะไรมาก และตอนนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการคุยกัน”
ลือกันว่ามาเสียบแทนหนุ่ม “เก้า จิรายุ” และได้รับค่าตัวไปกว่า 10 ล้านบาทเลยทีเดียว
“อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าเขาเลือกใครไว้ครับ แล้วแทนใครหรือเปล่าผมไม่ทราบจริงๆ ส่วนค่าตัวที่บอกเกือบ 10 ล้าน ก็เยอะเกิน นั่นก็เวอร์ไปจริงๆ ไม่ถึงเลย เป็นอะไรที่น้อยไม่เยอะมาก คือผมว่ารับงานแบบนี้ ไม่ได้เกี่ยงเรื่องค่าตัวนะ แล้วแต่ทางผู้ใหญ่คุยกัน ผมถือว่าเป็นการเปิดโลกกว้าง เป็นการหาประสบการณ์ใหม่ๆ มากกว่า คือผมไม่ได้ต้องการได้เงิน 5 ล้าน 10 ล้าน แต่เราก็ตันอยู่แค่นั้น ผมว่าเป็นการก้าวไปอีกขั้น เรียนรู้การทำงานเพิ่มไปอีกขั้นนึง”
“ก็คงไม่ถึงขนาดโกอินเตอร์ คือจริงๆ เป็นแค่หนังร่วมทุนผมว่าถือเป็นการลองประสบการณ์อะไรใหม่ๆ มากกว่านะ ไม่ได้คิดถึงขั้นจะไปโกอินเตอร์ หรือว่าจะต้องไปดังที่ประเทศจีน ผมว่าเป็นการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ให้กับชีวิตมากกว่าครับ จะว่าเป็นการต่อยอดไหม ถ้าจะคิดอย่างนั้นก็ได้ครับ”
หวังนำประสบการณ์ครั้งนี้ไปต่อยอดขยายฐานแฟนคลับในจีนเพิ่มขึ้น
“ถ้าคิดอย่างนั้น ก็เป็นไปได้ ผมว่าแฟนคลับที่จีนเขาก็ต้องดีใจ แต่ผมยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเขาเลย ผมว่าเขาต้องติดตามผลงานของเรา และก็ต้องมีข่าวที่จีนด้วย ก็หวังว่าจะมีแฟนคลับที่จีนเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าเป็นไปได้ก็เป็นเรื่องที่ดีครับ จริงๆ ผมเป็นคนชอบหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับชีวิตอยู่แล้ว มันเป็นการเปิดโลกกว้าง อีกแขนงนึง ซึ่งเป็นการสื่อสารคนละภาษา แต่ว่าต้องทำงานร่วมกัน ผมว่าน่าสนใจนะ และเป็นประสบการณ์ให้กับชีวิตเราได้ เมื่อมีโอกาสดีๆ แบบนี้แล้วก็น่าจะคว้าไว้ครับ”
ที่มา: manager.co.th