Author Topic: “โอ วรุฒ” แอ่นรับตกงานจนต้องขายสมบัติกิน แย้มพยายามง้อคืนดีเมียแต่ยังไม่ใจอ่อน  (Read 796 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46027
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


“โอ วรุฒ” ปฏิเสธติดเหล้าจนต้องบำบัด บอกพยายามลดละด้วยตัวเอง วอนผู้ใหญ่ให้โอกาสกลับมาทำงาน ลั่นถึงยังไม่เลิกเหล้าเด็ดขาดแต่ยันทำงานได้แล้ว เจ้าตัวรับชีวิตที่ผ่านมาลำบากเพราะตกงานจนต้องขายสมบัติกิน พร้อมเผยกำลังตามง้อขอคืนดีภรรยาแต่ยังไม่ใจอ่อน
       
       หายหน้าจากจอทีวีไปนาน ท่ามกลางกระแสข่าวว่าหนุ่ม “โอ วรุฒ วรธรรม” ติดเหล้าหนักจนเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ยิ่งล่าสุดเพื่อนซี้ “นีโน่ เมทนี บุรณศิริ” ออกมาเผยว่าหนุ่มโอกำลังอยู่ขั้นตอนการบำบัดเลิกเหล้า เพื่อเตรียมตัวกลับมาทำงานในวงการอีกครั้ง วันก่อนสบโอกาสเจอตัว โอ วรุฒ ในงานเปิดตัวหนังสือ “บุญมาพารวย” ที่ร้าน L’Espace ศูนย์การค้าสยามพารากอน เจ้าตัวก็ขอเคลียร์ว่า ไม่ได้ติดเหล้าถึงขั้นต้องไปบำบัด แต่พยายามลดละด้วยตัวเองเท่านั้นเอง
       
       “พูดตรงๆ ว่าไม่ได้ติดเหล้า คือคำว่าบำบัดต้องใช้กับผู้ที่จิบเยอะๆ แล้วต้องไปอยู่ในศูนย์บำบัด แต่นี่เราลดด้วยตัวเราเอง ฉะนั้นไม่เรียกว่าบำบัด เรียกว่าพยายามลดละบ้าง ตอนนั้นเราดื่มไปตามอารมณ์ บรรยากาศ อุณหภูมิ เพื่อนฝูง ถ้าวันไหนเพื่อนฝูงที่ไม่ได้เจอกันนานหรือเจอแล้วมันมาก มันมากก็เมามาก คือในปี 2554 เป็นปีที่ค่อนข้างว่างไง ตกงาน พอว่างบ่อยก็กินบ่อย เราเองเครียดมาตั้งแต่เรื่องครอบครัวแล้ว พอเครียดปุ๊บก็ดื่ม ดื่มก็เสียงาน พอเสียงานก็ตกงาน มันเรียงๆ มาตอนนี้”
       
       “ถามว่าเลิกกินเหล้ามั้ย ก็ไม่เลิกนะ แค่ลดละ ที่จริงก็น่าจะเข้าใจกันอยู่แล้ว แต่อธิบายก็ได้ ก็มันทำให้ตัวเราบรรลัย ฉิบหาย เราก็ต้องหยุดมันก่อนที่มันจะหยุดชีวิตเราครับ ที่ไม่เลิกเพราะไม่อยากให้เห็นว่าวันนึงเราไปนั่งอยู่งานไหนหรือสถานที่เที่ยวที่ไหนแล้วเห็นผมดื่มเหล้าอยู่ เขาก็จะหาว่าเราตอแหล ฉะนั้นผมก็บอกว่าไม่ได้เลิกดื่ม แต่จะลดลง จะดื่มเฉพาะงานปาร์ตี้งานแต่งงานหรืองานเลี้ยงฉลองต่างๆ”
       
       “ที่ผ่านมาก็ลำบากหน่อย ต้องขายสิ่งที่เรารักมาก ขายเรือยอร์ช ขายรถอีก 2 คัน เราเก็บเงินทองกว่าจะซื้อมาได้นี่ก็ทำให้เจ็บเหมือนกัน เหมือนตับหายไปข้าง ก็ซื้อมาประมาณ 6 ล้าน แต่ขายไปประมาณล้านกว่าๆ เพราะราคาตก ก็ชีวิตลำบากอยู่ ต้องไปกินข้าววัด (ยิ้ม) ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก คือไม่ได้ลำบากแบบไม่มีจะกินขนาดนั้น คือปกติชีวิตประจำวันเราต้องใช้เงินเยอะในการดูแลคุณพ่อคุณแม่ คนอื่นๆ อีก บ้านอีก 2-3 หลัง อะไรที่จะต้องผ่อนมันไม่พอ ก็เอาเงินที่ขายเรือมาล้างหนี้ ก็ต้องมีเงินก้อนเพื่อมาใช้จ่ายในการผ่อนชำระต่างๆ นานา รถ บ้านก็มีผ่อนอยู่ แต่ตอนนี้ก็เคลียร์หมดแล้ว”
       
       วอนผู้ใหญ่เชื่อมั่นถึงจะไม่เลิกเหล้าถาวร แต่ตอนนี้พร้อมที่จะกลับมาทำงานเต็มที่แล้ว บอกตอนนี้ลดลงเยอะแล้วหลังจากดื่มแทบทุกเวลาที่ตื่น เหลือดื่ม 2-3 อาทิตย์ครั้ง
       
       “เรื่องความเชื่อมั่นในการกลับมาทำงานขอให้เชื่อมั่นเถอะ เพราะว่าที่เรายังกินเป็นบางงานเท่านั้นเอง ซึ่งมันก็ต้องห่างกันแหละ 2-3 อาทิตย์หนนึง แต่ช่วงที่เราบ้าไปคือมันทุกวัน แล้วไม่ใช่ทุกวันเฉยๆ มันแทบจะทุกเวลาที่เราตื่น คือลืมตาปุ๊บก็ใส่เลย แต่ตอนนี้เราพร้อมกลับมาทำงานเต็มที่แล้วครับ ตอนนี้งานก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว แต่งานละครยังไม่มี แต่งานอีเว้นท์หรือรับเชิญในรายการวาไรตี้เกมโชว์ก็เริ่มมีแล้วครับ ส่วนงานพิธีกรยังไม่มี เพราะยังไม่ได้เข้าไปกราบคุณสมพงษ์ที่บริษัททีวีธันเดอร์เลย ก็คิดว่าหลังตรุษจีนก็จะเข้าไปไหว้แก รอให้พ้นตรุษจีนก่อน”
       
       “เห็นคุณแม่บอกว่าดวงชงของผมจะหมดหลังตรุษจีน ปี 54 นี่คือชงมากร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เลยโดนอย่างแรง ตอนนี้ชีวิตดีขึ้นมากเลย ผมเพิ่งรู้ว่าการที่เรานอนเร็ว ตื่นเช้ามานั่งกินกาแฟตอนเช้า ชีวิตมันอีกแบบนึงนะ มันก็มีความสุขดีเหมือนกัน ถ้าวันไหนไม่แฮงค์ เราออกไปไหนมาไหนก็รู้สึกว่าทำอะไรก็สนุกดีนะ”
       
       ยันไม่โกรธเพื่อนซี้ “นีโน่ เมทนี บุรณศิริ” ที่ออกมาเปิดเผยชีวิตตกอับของตน
       
       “กับพี่โน่เองเราคุยกันตั้งแต่แรกที่มีข่าวออกแล้ว เขาบอกว่าเออๆ ก็ตอบๆ เขาไปแล้วกัน คือพี่โน่ไม่มีเจตนาอะไรเลย พี่โน่มีแต่ความหวังดีให้ผมทุกสิ่งทุกอย่างทั้งนั้นแหละ ผมเหมือนน้องเขาแท้ๆ เลย พี่โน่ก็เหมือนพี่ชายแท้ๆ ของผม ฉะนั้นพี่โน่ไม่มีทางจะมาพูดความไม่หวังดีต่อเราหรอก แต่อาจจะเป็นการนึกที่จะตอบแล้วไม่ทันว่าอะไร เลยใช้คำว่าบำบัด”
       
       ส่วนสถานะครอบครัวตอนนี้ยังแยกกันอยู่กับภรรยา รับพยายามตามง้อแล้วแต่ภรรยายังไม่ยอมใจอ่อน
       
       “กับครอบครัวผมตอนนี้ครอบครัวเราก็ยังแยกกันอยู่เหมือนเดิม เขาก็อยู่ที่ระยอง เราก็อยู่กรุงเทพ ตอนนี้ก็ยังได้เจอกันอยู่บ้าง แต่ตอนนี้น้อยลงเพราะภรรยาผมทำงาน 5 วันเลย ก็เลยหยุดไม่ได้ แล้วลูกก็เรียนแล้ว ตัวเองก็เริ่มทำงานแล้ว อย่างน้อยก็เจอกันได้เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ แต่บางเสาร์เราก็ต้องไปทำงาน เหลือวันอาทิตย์วันเดียว เขาหรือเราจะมาเจอก็ลำบาก พักนี้เลยไม่ค่อยได้เจอ วันสุดท้ายที่เจอก็วันเกิดผมเมื่อเดือนกันยายนครับ แต่ผมก็ยังดูแลอยู่ครับ”
       
       “สมมติถ้าวันไหนเขาพาลูกมาหาผมแล้วเราไปเที่ยวกัน หรือผมไปเจอเขาที่ระยอง ก็ยังจูงมือเดินกอดคอกันอยู่ คือเราไม่ได้ทะเลาะกันแล้วแยกกันอยู่ แต่เราแยกกันอยู่โดยที่คุยกันแล้วว่าแยกกันอยู่นะ โอกาสกลับมาเหมือนเดิมมันก็คงจะมีอยู่แล้วแหละ แต่ผมถามเขาหลายหนแล้ว เขาบอกว่าไม่ซะทุกที ก็ง้ออยู่ แต่คำว่าไม่ของเขาไม่ใช่ว่าไม่เอาไม่ไป แต่บอกว่าอย่าเพิ่งเลย ขอทำงานก่อน เขาก็เพิ่งจบกำลังไฟแรงมั้ง อยากทำงาน”
       
       “เหมือนเป็นช่วงที่เราพิสูจน์ตัวเองเพราะตอนนี้เราก็อยู่คนเดียว ทำอะไรก็คนเดียวตลอดทุกอย่าง ไม่รู้สิ ก็เหมือนตัวเราก็ดี เหมือนเอาไปฝนไปลับออกมาให้เราใช้ชีวิตในสังคมปกติดี สิ่งที่ผ่านมาก็เป็นบทเรียนอย่างดีนะ เป็นความผิดพลาดอย่างแรงในชีวิต เพราะฉะนั้นมันจะเตือนสติเราไปตลอดจนกว่าจะล้มตายจากไปวงการนี้ครับ”
       
       “เพื่อนๆ เอง ให้กำลังใจเยอะมาก โดยเฉพาะคุณแม่กับคุณพ่อให้กำลังใจมากที่สุดครับ คุณแม่บอกว่าช่างเถอะลูก ลูกจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ จะสูงหรือต่ำหรือเลวยังไง แม่ก็ยังเป็นแม่ของลูก ก็ยังรักลูกเสมอ ส่วนเพื่อนๆ ก็แห่กันมาให้กำลังใจ มาคอยบอกว่าไม่ต้องห่วงนะ มีอะไรก็จะช่วย โดยเฉพาะเพื่อนๆ ที่คริสเตียน ก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ มากๆ เลยครับ”


ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)