Author Topic: กลุ่มสามารถ ฝันปี 55 คว้า 27,500 ล้านบาท  (Read 926 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


       'สามารถฯ' คาดมีรายได้รวมปี 55 แตะ 27,500 ล้านบาท หรือโต 25% โดยจะมีกำไรทะลุ 1,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ามีลูกค้า MVNO 3G เป็น 1 ล้านรายจากเดิมมี 2.2 แสนราย ส่วนความคืบหน้าเข้าซื้อ 2 กิจการจะคุยเสร็จไตรมาส 1 ปีนี้คาดใช้เงินมากกว่า 1,000 ล้านบาท
       
       นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2555 สามารถตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 27,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25% จากปี 2554 และคาดว่าจะมีผลกำไรทะลุ 1,000 ล้านบาท หรือโต 25% จากปีที่แล้ว พร้อมคาดการณ์ในปี 2556 จะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท
       
       ขณะที่รายได้รวมในปี 2554 ที่ผ่านมา ถือว่าต่ำกว่าเป้าเล็กน้อยจากเดิมที่ตั้งไว้ 25,000 ล้านบาท แต่คาดว่ารายได้รวมทั้งปีจะได้ประมาณ 22,000 ล้านบาทหรือโต 35%
       
       ทั้งนี้สาเหตุหลักที่ทำให้รายได้ในปี 54 ต่ำกว่าเป้าที่เคยวางไว้เนื่องจากได้รับผลกระทบจากไตรมาสที่ 4 ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์อุทกภัยขึ้นในประเทศทำให้ยอดขายโทรศัพท์มือถือ และการติดตั้งเครือข่าย 3G ล้าช้ากว่าที่กำหนดไว้ก่อนหน้า
       
       อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปีนี้ในส่วนของรายได้ MVNO 3G ทีโอที สามารถฯตั้งเป้าโต 20% และจะต้องเพิ่มลูกค้าในระบบให้ได้ 1 ล้านรายภายในสิ้นปี ภายหลังทีโอทีขยายสถานีฐานครบ 5,320 แห่ง ซึ่งในปัจจุบันมีลูกค้าเพียง 2.2 แสนรายเท่านั้นส่งผลทำให้รายได้ในปีที่ผ่านมาขาดทุน แต่หากบริษัทสามารถหาลูกค้า MVNO ได้ที่ 7.5 แสนราย จะทำให้บริษัทเข้าสู่จุดคุ้มทุนทันที
       
       นอกจากนี้สามารถฯยังตั้งเป้าที่จะร่วมเป็น MVNO รายใหญ่ หรือ สตราติจิก MVNO ของทีโอที โดยมีการกำหนดเป้าหมายยอดขายซิมการ์ดอย่างตายตัวในแต่ละปี และมีการทำสัญญาระยะยาว หรือมีการให้โควต้าในการทำตลาดตามปริมาณความจุโครงข่าย (คาปาซิตี้)
       
       ทั้งนี้การขยายโครงข่าย 3G ของ ทีโอที ในย่านความถี่ 1900 MHz ถือเป็นโอกาสของกลุ่มสามารถฯในปี 2555 นี้หากทีโอทีสามารถติดตั้ง และขยายโครงข่ายได้ครบ 5,320 แห่ง และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 ก.พ.นี้ จะทำให้ กลุ่มสามารถฯ ได้กระจายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น และขยายไปในพื้นที่ต่างๆ
       
       ขณะเดียวกันในกลุ่มสามารถ ไอ-โมบาย ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 9,000 ล้านบาท โดยจะต้องจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ ไอ-โมบาย จำนวน 3.5 ล้านเครื่องหรือคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 31%
       
       ซึ่งในกลุ่มดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงฐานรายได้จากเดิม โดยแต่่ก่อนรายได้ และกำไรส่วนใหญ่มาจากการขายโทรศัพท์มือถือเท่านั้น โดยตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปจะเปลี่ยนให้รายได้มาจากการขายคอนเทนต์ และในส่วนของ MVNO
       
       ทั้งนี้คาดว่าปีนี้กลุ่มไอโมายจะเติบโตขึ้นมากภายหลังทีโอที เปิดบริการ 3G อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากจะทำให้ผู้บริโภค และลูกค้าส่วนใหญ่หันมาสนใจหาซื้อโทรศัพท์มือถือที่รองรับเทคโนโลยี 3G โดยในปีนี้สามารถจะทำราคาเครื่องมือถือให้สูงขึ้นกว่าเดิมโดยจะเฉลี่ยราคา 2,000 บาทขึ้นไปจากเดิม
       
       นายวัฒน์ชัย กล่าวว่า ในส่วน ICT Solutions จากบริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) (SAMTEL) ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านไอที และโทรคมนาคม โดยในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 15,000 ล้านบาท หรือโต 20% ซึ่งเทียบกับปี 54 มีรายได้รวม 12,000 ล้านบาท
       
       โดยในปีนี้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวจะมีโครงการประมูลใหม่ๆประมาณ 40,000 ล้านบาท โดยเฉพาะ 2 โครงการใหญ่ของ ทีโอที ได้แก่ โครงการติดตั้งโครงข่าย 3G ส่วนต่อขยายในเฟสที่ 2 มูลค่า 10,000 ล้านบาทซึ่งโปรเจกต์ดังกล่าวมีมูลค่ารวม 15,999 ล้านบาท และโครงการพัฒนาโครงข่ายบรอดแบรนด์ทั่วประเทศ (ไฟเบอร์ออกติก) ประมาณ10,000 ล้านบาท
       
       ส่วนสายธุรกิจอื่นๆที่มาจากบริษัท วิชั่นแอนด์ ซิเคียวริตี้ ซิสเต็ม จำกัด บริษัท วันทูวันคอนแทคส์ จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจด้านคอนแท็ค คอลเซ็นเตอร์ รวมถึงบริษัท สามารถ วิศวกรรม จำกัด ซึ่งตั้งเป้าในปีนี้ไว้ที่ 2,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10%
       
       ด้านสายธุรกิจ Utility Services เกี่ยวกับสาธารณูปโภค และการเดินทางคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 15,000 ล้านบาท โดยรวมถึงผลประกอบการของบริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิก เซอร์วิสเซส จำกัด บริษัท กัมปอต พาวเวอร์ แพลน จำกัด, บริษัท สุวรรณภูมิ เอ็นไวรอนเม้นท์ แคร์ จำกัด และบริษัท สามารถ ยู-ทรานส์ จะเริ่มเห็นรูปธรรมในปีนี้ ด้วยมูลค่างานรวมกว่า 4,000 ล้านบาท
       
       นายวัฒน์ชัย กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง บริษัทสามารถจึงจะเน้นการสร้างรายได้ระยะยาว 5-10 ปี โดยการเข้าประมูลงานภาครัฐให้เยอะมากขึ้น ซึ่งคาดว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้า รายได้หลักของบริษัทจะเน้นพึ่งพารายได้ระยะยาวมากกว่า 50%
       
       นอกจากนั้นในปีนี้บริษัทจะเน้นรุกตลาดในต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศลาว และพม่า ในกลุ่มธุรกิจด้านพลังงาน และสาธารณูปโภค รวมถึงโทรคมนาคม จากเดิมที่มีฐานตลาดต่างประเทศอยู่ในประเทศมาเลเชีย และกัมพูชาอยู่แล้ว
       
       ส่วนความคืบหน้ากรณีที่บริษัทกำลังดำเนินการซื้อกิจการรวม 2 บริษัทซึ่งจะเป็นธุรกิจในกลุ่ม Utility และ SAMTEL โดยจะเห็นผลจากการเจรจาในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 1,000 ล้านบาทในการเข้าซื้อ 1 ใน 2 บริษัทดังกล่าว โดยทั้ง 2 บริษัทไม่ได้อยู่ตลาดหลักทรัพย์แต่อย่างใด
       
       Company Relate Link :
       SAMART

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)