Author Topic: เผยบทสนทนาสุดท้ายของ “เลสลี่ จาง” ก่อนปลิดชีพตัวเองเมื่อ 8 ปีก่อน  (Read 876 times)

0 Members and 2 Guests are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai

วันที่ 1 เม.ย. นอกจากจะเป็นวันโกหกโลก “เอพริลฟูลส์ เดย์ส” (April Fool's Day) แล้ว สำหรับชาวฮ่องกงยังเป็นวาระการรำลึกถึงการสูญเสียซุปเปอร์สตาร์ที่คนฮ่องกงรักมากที่สุดอย่าง “เลสลี่ จาง” ด้วย และในปีนี้ ซึ่งเป็นวาระการเสียชีวิตปีที่ 8 ของเขา ได้มีการเปิดเผยถึงคำพูดและเรื่องราวในวาระสุดท้ายของ “เลสลี่ จาง” จากปากคำของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง
       
       

       
       หมิงเป้ารายสัปดาห์ ได้เปิดเผยถึงบทสัมภาษณ์ของ อัลเฟรด ม็อก อินทีเรียดีไซน์เนอร์ เพื่อนสนิทที่เป็นคนสุดท้าย ซึ่งมีโอกาสได้พูดคุยกับ เลสลี่ จาง ก่อนเขาจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเมื่อวันนี้ของเมื่อ 8 ปีก่อน
       
       ในวันที่ 1 เม.ย. 2003 กลายเป็นเรื่องช็อควงการบันเทิง เมื่อมีรายงานข่าวการเสียชีวิตของ เลสลี่ จาง ที่ได้กระโดดลงมาจากชั้นที่ 8 ของโรงแรมแมนดารินโอเรียนทัลเมื่อเวลาประมาณ 18:40 น. ซึ่งในตอนแรกทุกคนคิดว่านี่คือส่วนหนึ่งของมุขตลกล้อเล่นในวันเอพริลฟูลส์ เดย์ส จนกระทั่งต่อมาจึงมีการยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง
       
       ซึ่งก่อนจะเกิดเหตุการณครั้งนั้นไม่นานนัก เลสลี่ จาง ได้ร่วมรับประทานอาหาร และพูดคุยกับเพื่อนอย่าง อัลเฟรด ม็อก เป็นเวลาถึง 3 ชั่วโมง โดยนักแสดงชื่อดังเลือกสั่งสปาเก็ตตี้ และดูมีท่าทางอยากอาหารดี นอกจากนั้นยังค่อนข้างระมัดระวังกับโรคซาร์ที่กำลังระบาดอยู่ในเวลานั้นเป็นพิเศษ
       
       “เขาประหม่านิดหน่อย แล้วก็ดูมือสั่นด้วย เขายังถามถึงเลขหมายบัตรประชาชนของผมด้วย” ต่อมา ม็อก จึงได้ทราบว่า เลสลี่ จาง ต้องการนัดพบเขาในครั้งนั้น ก็เพราะต้องการเลขบัตรประชาชนสำหรับการเขียนพินัยกรรมนั่นเอง ซึ่งเพื่อนสนิทคนนี้ก็ได้รับมรดกส่วนหนึ่งไปด้วย แต่เขาไม่ได้เปิดเผยว่าคืออะไร นอกจากนั้นเขายังทราบในเวลาต่อมาว่า เลสลี่ จาง ได้จองห้องในโรงแรมเอาไว้ และวางแผนการปลิดชีพตัวเอง ก่อนที่จะถึงการนัดพบครั้งนั้นแล้ว
       
       ระหว่างมื้ออาหาร เลสลี่ เอ่ยปากถามความเห็นขึ้นมาว่า จะทำอย่างไรหากทราบว่าตัวเองป่วย เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ซึ่ง อัลเฟรด ม็อก ตอบว่าเขาจะกินยานอนหลับ … “ผิดแล้วล่ะ ถ้าจะตาย ง่ายที่สุดก็คือกระโดดลงมาจากตึกไงล่ะ” เลสลี่ จาง พูดออกมาในวันนั้น
       
       ม็อก ให้ข้อมูลว่า เลสลี่ จาง ได้พยายามพบแพทย์หลายครั้ง เพื่อรักษาปัญหาสุขภาพทางจิต ปัญหาก็คือจิตแพทย์หลายคน ต่างให้คำแนะนำที่ต่าง ๆ กันไป ทำให้เขายิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก โดยครั้งหนึ่ง จู่ ๆ เลสลี่ จาง ก็พูดขึ้นมาว่า “โรงแรมนี้หน้าต่างเปิดไม่ได้นะ” ซึ่ง ม็อก ก็ไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไรในตอนนั้น
       
       หลังเสร็จจากมื้ออาหาร เลสลี่ จาง ยังไปส่งเพื่อนที่สำนักงาน พร้อมกล่าวลาว่า “ผมคงจะรับโทรศัพท์คุณไม่ได้อีกแล้ว” ซึ่ง อัลเฟรด ม็อก เองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ และพยายามติดต่อไปที่พี่สาวของ เลสลี่ จาง เพื่อให้ช่วยดูแลเขาหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหยุดยั้งเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นได้
       
       ก่อนจะเสียชีวิต เลสลี่ จาง ยังมีแผนที่จะกำกับหนังว่าด้วยเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเกาะชิงเต่าในปี 1939 แต่ต่อมาเกิดปัญหาขึ้น ทำให้โปรเจ็คหนังเรื่องนี้ต้องสะดุดลง และเป็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องผิดหวังมาก
       
       “เขาอยากจะเป็นผู้กำกับหนัง … และยังได้ทีมงานที่เคยร่วมงานกันใน Farewell My Concubine มาช่วยงานด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดี จนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกว่าบทหนัง กับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อาจจะขัดแย้งกัน หลังจากนั้นนายทุนยังปฏิเสธที่จะให้เงินกับเขาอีก เลสลี่ เลยรู้สึกหดหู่มาก ๆ”
       
       ม็อก ยังเปิดเผยอีกว่า ในการบันทึกเสียงงานเพลง เลสลี่ จาง ก็เริ่มรู้สึกว่าเสียงร้องของตนเองไม่สมบูรณ์แบบ ปัญหาเรื่องงานกลายเป็นสิ่งที่กดดันเขาอย่างหนัก จนมีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร และเริ่มนอนไม่หลับ ในช่วงก่อนที่จะตัดสินใจจบชีวิตตนเอง
       

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)