Author Topic: “เอ” โต้ เป็นคนเมคประวัติให้ “ณเดชน์” พร้อมปัดปีนี้ณเดชน์ฟันค่าพรีเซ็นเตอร์เกือบร้อยล้า  (Read 937 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


       “เอ ศุภชัย” โต้เมคประวัติ “ณเดชน์” ให้เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น ย้ำ ที่ณเดชน์ทำไปเพราะอยากให้เกียรติพ่อแม่บุญธรรม ลั่น ช่อง3 รู้มาแต่ต้นจึงไม่มีปัญหา ส่วนที่ไม่ได้บอกคนอื่นแต่แรกเพราะไม่มีใครถาม เปรย ไม่อยากให้เรื่องนี้มาบั่นทอนอีกฝ่าย พร้อมปัด ปีนี้ณเดชน์มีงานพรีเซ็นเตอร์ถึง 21 ชิ้น แถมโกยชิ้นละ 4 ล้าน
       
       กลายเป็นประเด็นที่คนพูดถึงกันไม่น้อยในขณะนี้ สำหรับเรื่องที่ว่าพระเอกหนุ่มสุดฮอตอย่าง “ณเดชน์ คูกิมิยะ” เคยบอกว่าตัวเองเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น แต่ไปๆ มาๆ ความจริงปรากฏออกมาว่าเป็นแค่ลูกบุญธรรมของชาวญี่ปุ่นเท่านั้น และพ่อที่แท้จริงก็เป็นชาวออสเตรีย พลอยทำให้ผู้จัดการส่วนตัวอย่าง “เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” โดนเพ่งเล็งเป็นคนแรกว่าเป็นคนเมคประวัติพระเอกหนุ่ม
       
       ซึ่งล่าสุดหนุ่ม “ณเดชน์” ก็ออกมายอมรับแล้วว่าตัวเองไม่ใช่ลูกครึ่งญี่ปุ่น หากแต่พ่อจริงๆ เป็นชาวออสเตรียอย่างที่ข่าวนำเสนอไป และไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร เพียงแต่ไม่มีโอกาสเหมาะได้ออกมาพูดเรื่องนี้ต่อสาธารณะเท่านั้น ในขณะที่ “เอ ศุภชัย” ก็ยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเมคประวัติให้กับพระเอกหนุ่มแน่นอน เพราะตนก็ทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ที่ไม่บอกความจริงแต่แรก เป็นเพราะณเดชน์ต้องการให้เกียรติพ่อแม่บุญธรรมก็เท่านั้น
       
       “เอเองก็รู้เรื่องทุกอย่างมาตลอด แต่ไม่มีใครมาถาม แต่เอก็เล่าให้คนนั้นคนนี้ฟังว่าประวัติณเดชน์เป็นยังไง เล่าให้ช่อง 3 ฟัง ช่องรับรู้ทุกอย่าง แต่ไม่มีใครมาถามเอ เอก็เลยตอบได้แค่ว่าณเดชน์เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น เอไม่ได้เซ็ทเรื่องไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้เป็นเรื่องที่เราปิดบัง ถ้าปิดบังหรือเมคขึ้นมาแล้วเราไปให้สัมภาษณ์อย่างนั้นมันก็อีกเรื่อง แต่นี่เวลาที่สื่อโทร.มาหาเราก็เล่าให้เขาฟัง ก็เลยรู้สึกว่าเราเห็นใจณเดชน์นะ ก็เหมือนถ้าเราเป็นลูกบุญธรรมใครสักคน แล้วคนมาตอกย้ำคุณพ่อคุณแม่บุญธรรมเรา ความรู้สึกของเด็กอายุ 19 คนนึงเขาจะรู้สึกยังไง”
       
       “เอก็บอกน้องเขาไปว่าหนูจงทำในสิ่งที่หนูคิดว่าดีที่สุด และถูกต้องที่สุดแล้ว และอย่ากลัวความถูกต้องเพราะว่ามันจะส่งให้หนูเจริญรุ่งเรืองต่อไป ที่หนูมีวันนี้ได้เพราะหนูเป็นคนแบบนี้ เพราะฉะนั้นหนูไม่ต้องอายอะไรเลย พี่ๆ นักข่าวและทุกคนทั้งประเทศไทยเขาเห็นใจหนูในสิ่งที่เกิดขึ้นนะ แต่เอคิดว่าณเดชน์เป็นคนที่เด็กๆ และเยาวชนควรจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ขนาดพ่อแม่เราเอง บางทีเราก็ยังมีพูดจาเสียงดังใส่ท่านบ้าง แต่สำหรับณเดชน์กับคุณพ่อคุณแม่บุญธรรมเขาจะเรียกปะป๊า มาม๊าตลอด เป็นอะไรที่น่ารักมาก และกับแม่ที่แท้จริงก็ดูแลไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยนี่คือเรื่องจริง”
       
       “คนที่บอกว่าเอโกหก ก็อยากจะให้ดูว่าเราโกหกตรงไหน และลองถามกลับดูว่าถ้าเป็นตัวคุณคุณจะตอบยังไง ในเมื่อคุณมีพ่อมีแม่บุญธรรมคุณจะแนะนำเขาไหมว่านี่พ่อบุญธรรมแม่บุญธรรมของผมนะครับ ซึ่งมันก็เป็นการไม่ให้เกียรตินะ เพราะณเดชน์เขาก็เป็นลูกถูกต้องตามกฎหมายของญี่ปุ่น คือเขาเกิดมาลืมตาดูโลกจำความได้เขาก็นามสกุลคูกิมิยะแล้ว เขาไม่ได้มาเปลี่ยนนามสกุลตอนที่เอเอาเขาเข้าวงการ ชื่อก็ไม่ได้เปลี่ยน ถ้าเอเพิ่งเอามาเปลี่ยนตอนเข้าวงการเป็นนามสกุลญี่ปุ่นสิโอเค อันนั้นเอจะยอมรับว่าเราผิด แต่นี่เกิดมาปุ๊บบัตรประชาชนก็เป็นญี่ปุ่นแล้ว ทุกอย่างก็เป็นญี่ปุ่นหมดแล้ว”
       
       “ดีซะอีกที่เขารู้มาว่าเขาเป็นแบบนี้แล้วเขายังดูแลครอบครัว ดูแลพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เกิด คือเราเลือกที่จะให้ใครมาเป็นพ่อแม่เราไม่ได้หรอก แต่เราเลือกที่จะปฏิบัติได้ ปฏิบัติต่อคนที่มีบุญคุณมีพระคุณกับตัวเรา ปฏิบัติในสิ่งที่เราเรียกว่าการตอบแทนบุญคุณของคนที่มีบุญคุณ ทั้งพ่อแม่บุญธรรม ทั้งแม่จริงและทั้งผู้จัดการ(หัวเราะ)”
       
       บอก ฟีดแบคที่กลับมามีแต่คนเห็นใจและให้กำลังใจ วอน อย่าทำให้ณเดชน์ต้องท้อถอยกับเรื่องพวกนี้ เพราะสิ่งที่พระเอกหนุ่มทำอยู่ถือว่าดีมากอยู่แล้ว
       
       “พอมีข่าวออกไปทุกคนก็โทร.มาให้กำลังใจหมดเลย ทางช่องก็โทร.มา ทางลูกคุณประวิทย์ก็โทร.มา เพราะเขารับทราบทุกอย่างเรื่องของน้องตั้งแต่ตอนที่เข้าไปเซ็นสัญญากับช่องแล้ว เขาก็บอกว่าให้บอกน้องว่าอย่าคิดมาก เราก็รู้สึกขอบพระคุณ รวมถึงพี่ๆ นักข่าวทุกท่านก็บอกว่าเห็นใจน้องมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งจริงๆ เรื่องนี้ในอินเตอร์เน็ตก็มีมาเรื่อยๆ แต่เพิ่งเอาออกมาเป็นประเด็นในเร็วๆ นี้”
       
       “น้องเขาเสียเรื่องที่ญี่ปุ่นกำลังมีปัญหาตอนนี้มากกว่า เพราะเมื่อวานแม่เขาก็เพิ่งไปบริจาคเงินมาแสนนึง แต่น้องเขาคงแคร์ความรู้สึกคุณพ่อคุณแม่บุญธรรมมากกว่า อันนี้ในความรู้สึกเอนะ ตัวเขาเองยังไงก็ได้เพราะเขาทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่เขาคงแคร์ความรู้สึกพ่อแม่มากกว่า แต่ถ้าโดนสงสัยอีกว่าไม่ใช่เชื้อออสเตรียอีกเหรอ อันนั้นคงต้องไปตรวจดีเอ็นเอแล้วล่ะ(หัวเราะ) ไม่กลัวหรอกว่าจะทำให้เครดิตเราเสีย เพราะเราไม่ได้ทำผิด มากสุดก็คือเปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนหน้าบ้างนิดหน่อย แต่เรื่องเปลี่ยนสัญชาติพี่เอไม่ทำ(หัวเราะ)”
       
       “อย่าทำให้คนที่เขาทำดีเกิดท้อถอยกับการเรื่องอะไรแบบนี้เลย เอว่าเรามองประเด็นที่เขาเป็นคนดีและเขาดูแลพ่อแม่ ดูแลครอบครัว และเอก็อยากให้ทุกคนไปดูในบัตรประชาชน ในสำเนาทะเบียนบ้านว่าเกิดมาคุณชื่ออะไร นามสกุลอะไร แล้วถ้าเป็นตัวคุณ คุณจะทำยังไง ก็ถามย้อนกลับสู่ตัวเองหน่อย ซึ่งถ้าเอเป็นณเดชน์เอคงทำมากกว่าณเดชอีก(หัวเราะ)”
       
       ปัด พระเอกหนุ่มไม่ได้มีงานเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณามากถึง 21 ชิ้น และค่าตัวชิ้นละกว่า 4 ล้านบาทตามข่าวลือ บอก รับแค่ตามสมควรเท่านั้น
       
       “เรื่องพรีเซ็นเตอร์ชิ้นละ 4 ล้านนี่ไม่จริงเลย รับเล็กๆ น้อยๆ อย่างตัวไหนที่เป็นสินค้าที่น้องใช้ทั้งชีวิตตั้งแต่ผมยันเท้าอย่างนี้เราก็รับ แต่ต้องเป็นสินค้าที่น้องใช้จริงด้วยนะ แต่เรื่องราคาไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เราก็เห็นใจลูกค้า เราก็เอาตามเหมาะตามควร แล้วก็ไม่ถึง 21 ตัวด้วย ไม่กี่ตัวเอง แต่เป็นโปรดักส์ที่ดีหมดทุกตัวเลย แล้วน้องใช้สินค้านั้นจริงๆ ไม่เคยโกหก สินค้าที่น้องเป็นพรีเซ็นเตอร์คือสินค้าที่น้องใช้จริงๆ”
       
       “ไม่ถึง 4 ล้านแน่นอน เราไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเงิน เราคำนึงถึงเรื่องว่าทำงานกับใครแล้วเรามีความสุขและแฮปปี้เราก็จะทำ บางทีจะเอาอะไรกับณเดชแค่ให้ใจก็อาจจะได้ถ่ายทำฟรีก็ได้ เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ บางตัวก็ไม่ต้องจ่ายเงินก็มี แต่เป็นสินค้าที่น้องชอบกินชอบใช้เขาก็ส่งไปให้น้องกินให้น้องใช้ที่บ้านเต็มไปหมดเลย ถ้ามีอะไรที่น้องช่วยได้น้องก็ช่วยเขาหมดเลย เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไปถามลูกค้าได้เลย ไม่ถึงจริงๆ ครับ”
       
       “แล้วก็เรื่องที่ว่างานฟรี งานบุญไม่รับอันนี้ไม่จริงนะครับ ขอยืนยันด้วย นอนยันด้วยเพราะว่าไปกันมาตลอด เมื่อช่วงเช้าก็เพิ่งไปงานครอบครูช่อง 3 เมื่อวันก่อนขนาดน้องเป็นแผลที่หน้าที่เกิดจากอุบัติเหตุก็ยังไปงานฝังลูกนิมิตยกช่ออุโบสถอยู่เลย แล้วที่บอกว่าเอสบายเพราะได้เปอร์เซ็นต์จากค่าตัวน้องอันนี้ก็ไม่จริงนะครับ เพราะนี่เอก็เพิ่งซื้อที่ทำนา อยากใช้ชีวิตอย่างพอเพียง อยากกลับเข้าไปสู่ชนบท คือเราทำบ้านใหม่หลังใหญ่จริง ก็เพื่อให้เด็กๆ น้องๆ เราอยู่กันนี่แหละครับ แต่ตัวเองก็ยังนอนกินแกงไตปลา แกงเหลืองอยู่เหมือนเดิมนี่แหละ”


ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)