Author Topic: “ตา สุรางคนา” น้ำตาแตกถูกด่าโง่โดนโกง ฟ้องทีวีไดเร็คเรียกเฉียด 130 ล้าน  (Read 1377 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


      “ตา สุรางคนา” ยื่นฟ้องทีวีไดเร็ค ฐานผิดสัญญาว่าจ้าง ละเมิด เรียกร้องค่าเสียหายเฉียด 130 ล้านบาท เผยถูกคนด่าโง่ที่โดนโกง ลั่นยินดีเคลียร์คู่กรณี ขอแค่เงินในส่วนที่ควรจะได้ พ้ออยู่วงการมา 20 ปีเพิ่งจะมีข่าวเสียหาย
       
       วันนี้ (11ม.ค.54) เวลาประมาณ 9.00 น. อดีตดาราสาว “ตา สุรางคนา สุนทรพนาเวศ” ได้เดินทางมายังศาลแพ่ง รัชดาฯ พร้อม “นายอนันชัย ไชยเดช” ทนายความ เพื่อเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท ทีวีไดเร็ค จำกัด ข้อหาผิดสัญญาจ้างทำของ, ละเมิด, เรียกเงินคืน, ตัวการตัวแทน, กรรมการทำผิดหน้าที่ โดยเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 129,600,000 บาท ทั้งนี้ดาราสาวได้เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า
       
       “วันนี้มาขอยื่นฟ้อง และก็มาขอความยุติธรรมกับศาลแพ่งค่ะ เพราะว่าจริงๆ แล้วทุกคนในวันนี้ก็คงยังเห็น และยังคุ้นเคยกับการที่ตาเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ Velfrom Hair Grow ซึ่งออกจัดจำหน่ายขายทางทีวี ซึ่งผลิตภัณฑ์อันนี้ตาทำมาประมาณ 6 ปีตั้งแต่เริ่มต้น และไม่คิดว่าจะมีวันนี้ เพราะว่าตาตั้งใจมาก แต่หลายคนก็มองว่าตาเป็นดาราไปเรียนหนังสือมา ไม่น่าจะมีคดีโดนโกงแบบนี้ ทำไมถึงไม่ฉลาดเลย”
       
       “แต่จริงๆ อยากจะบอกว่ามันเป็นจังหวะและโอกาส และความเชื่อใจไว้ใจซึ่งกันและกัน และตัวตาเองตอนที่เริ่มธุรกิจ ตาก็เป็นหุ้นส่วนถือหุ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ขายทุกตัวที่นำเข้ามาจากประเทศสเปน ซึ่งก็ได้ทำการเปิดตัวไป พอขายได้สักสองสามปีก็ค่อนข้างที่จะไปได้ดี แต่ว่าเรายังจัดจำหน่ายไม่เก่งมาก พอดีญาติของตารู้จักกับทีวีไดเร็ค ก็เลยมองว่าเราน่าจะส่งขายทางทีวีไดเร็ค ก็น่าจะเป็นการจัดจำหน่ายในช่องทางที่กว้างกว่า”
       
       “ซึ่งปกติอยู่แล้วที่ทางทีวีไดเร็คจะนำสินค้าอื่นไปขายอยู่แล้ว เมื่อเรานำไปจัดจำหน่ายที่นั่น ตาก็ยังเป็นพรีเซ็นเตอร์ต่อไป แต่ที่จะทำให้ตามั่นใจและสบายใจ ตาต้องเข้าไปมีหุ้นส่วนในทีวีไดเร็คด้วย ตาก็คุยกับเจ้าของ ซึ่งก็เป็นหุ้นที่เล็กมากนิดเดียว หลังจากที่ตาเข้าไปทำงาน ตอนแรกธุรกิจก็ไม่ได้กำไรมากมาย ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่พอทำไปได้สักปีสองปี ปีที่สามดังมากเลย เพราะว่าตาชวนพี่ๆ นักแสดงให้ลองใช้ เพราะมันเป็นสินค้าของเรา เพื่อลดข้อครหาว่าเป็นดารามาหลอกประชาชนหรือเปล่า เพราะว่าเราไม่มีนิสัยแบบนั้น”
       
       “หลังจากที่เข้าไปทำแล้วก็ปรากฏว่า ปีที่สามผลประกอบการดีมาก เรียกว่าเดือนๆ นึงได้หลายสิบล้านเลย เพราะตั้งแต่ที่ได้พี่ไทด์ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งก็ต้องขอบคุณมากๆ และพี่เขาก็เต็มที่กับตามาก เราก็บอกเขาว่าเราเพิ่งทำธุรกิจช่วยหน่อย (ร้องไห้) บอกทุกอย่าง จนวันนี้คนคิดว่าพี่ไทด์เป็นเจ้าของเอง จะไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ยาสระผมตัวอื่นก็ไม่ได้ ซึ่งก็เหมือนว่าตาต้องดึงพี่ไทด์มายุ่งกับธุรกิจนี้ด้วย เพราะว่าพี่ไทด์บอกว่า มีสินค้าตัวอื่นเรียกมาให้ไปร่วมลงทุน แต่พี่ไทด์ก็บอกว่าไม่ได้ เพราะว่ามาช่วยน้องแล้ว ซึ่งมันก็เสียหายกับพี่ไทด์เหมือนกัน”
       
       “พอหลังจากนั้นสามปีหลังผลประกอบการดี เราก็เลยคิดที่จะทำโฆษณาตัวใหม่กับพี่ไทด์ ในระหว่างนั้นก็มีปัญหา ตาขอตรวจบัญชีเพราะสงสัยว่าหลังจากที่เราทำงานมาประมาณ 5 ปี แต่ทำไมในฐานะหุ้นส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ ทำไมถึงไม่ได้เงินปันผลเลย สองสามปีแรกเราไม่ได้เงินปันผลไม่ว่า แต่ตาเหนื่อย ตาทุ่มเททำไมเป็นแบบนี้ ใช้ความรู้ที่เรียนมาทุกอย่าง เพราะเราคิดว่าวันนึงในอนาคตตรงนี้มันคือธุรกิจของเรา ถึงแม้จะมีแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเราทำเขาดี เราก็คงมีอนาคต เพราะในอนาคตตาก็ต้องการแค่เป็นอาจารย์สอนหนังสือเด็กๆ สร้างเด็กๆ ที่ดีขึ้นมา ก็จะกลับไปอยู่เชียงใหม่สอนเด็ก ตาก็คิดว่าผลประกอบการบางส่วนก็จะใช้เลี้ยงชีพไปให้พออยู่ได้”
       
       “แต่ตลอดระยะเวลา 5 ปีไม่เคยได้เงินปันผลเลย จะได้ก็จะเป็นในส่วนที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ จะมีสัญญาได้เป็นเงินเดือนประจำ ได้ค่าออกงานครั้งละ 5 พัน รวมถึงค่าโชว์ตัวในรายการก็ครั้งละ 5 พันและก็ได้ค่าคอมมิชชั่นในแต่ละครั้ง 1.2 เปอร์เซ็นต์ จากยอดขายเซ็นสัญญาปีต่อปี ล่าสุดเขาบอกว่าถ้ายอดขายเกิน 70 ล้านจะเพิ่มเปอร์เซ็นต์ให้ ที่เกิดเรื่องแบบนี้ก็เพราะว่ามันคงเป็นเรื่องของธุรกิจการขายมากกว่า”
       
       “ซึ่งพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พอคุยกันไม่รู้เรื่อง ทางบริษัทก็บอกว่าเขาไม่สามารถร่วมงานกับตาได้แล้ว เพราะว่าตาไม่ควรจะเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้ว หรือว่าอะไรก็ตามก็ไม่เป็นไร เราก็หยุด เพราะว่าก็เป็นปกติอยู่แล้วที่สินค้าก็ต้องเปลี่ยนตัวพรีเซ็นเตอร์ เพราะฉะนั้นในฐานะคนนึงที่ถือหุ้น เราก็ควรจะยังอยู่มีสิทธิ์มีเสียงตรงนั้น แต่หลังจากนั้นเขาไม่จ่ายเงินเดือน ไม่จ่ายค่าคอมมิชชั่นด้วย ทั้งๆ ที่สัญญาเราก็ยังไม่หมดกับเขา แต่เขาก็ยังใช้หน้าเราออกอากาศ คือเขาบอกให้เราหยุดทำงาน แต่เขาไม่หยุดเอาเราเป็นพรีเซ็นเตอร์”
       
       “และถ้าถามว่ามีผลอะไรไหม ก็คุณยังมีผลประโยชน์ ยังมีผลกำไรอยู่ แต่เราไม่ได้รับอะไรเลยทั้งๆ ที่เราก็ได้รับผลประโยชน์น้อยอยู่แล้ว และคนดูเห็นตาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ก็คิดว่าเป็นของตา ตาเป็นเจ้าของ และตัวตาเองก็ทำบริษัททัวร์ด้วย ลูกค้าก็จะถามหาสั่งของกับตา คือประมาณสองเดือนที่ผ่านมามันเป็นปีใหม่ที่เหนื่อยมาก อึดอัดมาก”
       
       ลั่นต้องการได้ในส่วนที่ควรได้เท่านั้น และอยากให้คู่กรณีมาเคลียร์กัน ลั่นมั่นใจในหลักฐานที่มีก่อนพ้อ 20 ปีที่อยู่วงการมาไม่เคยมีข่าวเสียหาย
       
       “คือตอนนี้หลังจากที่เขายังเอาหน้าตาออกอากาศไม่พอ เขาปิดบริษัทที่ตามีหุ้นด้วย ตาไปดูบริษัท เขาก็ปิดบริษัทที่ตากับเขาถือหุ้นด้วย ตาก็เลยต้องการฟ้อง เพราะว่าถ้าตาไม่มีอะไรตรงนั้น ตาก็ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ เพราะฉะนั้นอย่างแรกที่ตาต้องการก็คือขอบริษัทนั้นกลับคืนมา ให้เขายังมีอยู่ เพื่อให้ตาได้ในส่วนที่ตาควรจะได้ กับทีวีไดเร็คตาก็มีสัญญาว่า ตาต้องได้ผลประโยชน์ 10 เปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ซึ่งตาก็ไม่เคยได้รับ รวมถึงการที่เขาใช้ตาเป็นพรีเซ้นเตอร์ ตาก็ไม่ได้รับผลตอบแทน”
       
       “ตอนแรกๆ ตาก็คิดว่าอยู่เฉยๆ ไปยอมเป็นคนโง่ แต่ว่าตอนนี้ตาไม่ไหวแล้ว ก็อยากให้เข้ามาคุยมาเคลียร์ให้ชัดเจนว่ายังไง ไม่อย่างนั้นก็จะต้องดำเนินคดี พอเขาไม่คุยไม่เคลียร์ก็ต้องปรึกษาทนาย เราไม่เคยรู้เรื่องอะไรกับเขา เพราะเราก็ไม่เคยทวงถามอะไรจากเขาด้วย คิดว่าเราก็ยังได้ค่าคอมมิชชั่นอะไรอยู่ด้วย แต่พอรู้ว่าเขาปิดบริษัทไปก็เลยปรึกษากับทนาย ตาทำงานอยู่แล้ว รู้ว่ายอดขายเท่าไหร่ และเราก็มั่นใจในหลักฐานอยู่แล้ว เรามีหลักฐานครบร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ”
       
       “คือ 20 ปีที่ทำงานตรงนี้มา ตาไม่เคยทำเสียชื่อเสียง ไม่เคยทำตัวเหลวไหล ไม่เคยมีข่าวเรื่องผู้ชาย ไม่เคยมีข่าวไม่ดีอะไร (ร้องไห้) ไม่เคยคิดว่าวันนึงจะต้องมาอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ และให้สัมภาษณ์ด้วยคดีแบบนี้ เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ในชีวิต ทำหน้าที่ที่ควรจะทำทุกอย่าง ซึ่งทุกอย่างทั้งหมดต้องการเรียกร้องค่าเสียหาย ก็คำนวณมาจากผลประโยชน์ที่ควรได้รับคือ 129,600,000 ตลอด 5 ปี และตลอดถึงอนาคต ตาลงตังค์ด้วยไม่ใช่แค่ลงแรง เพราะคิดว่ามันจะเป็นธุรกิจของเราไปในอนาคต ซึ่งตรงนี้ทางทนายก็ช่วยคิดคำนวณด้วยค่ะ”


ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)