Author Topic: ทนายไม่ถือสา “ต้อย แอ็คเนอร์” โบ้ยจัดฉากโกหกสื่อ ลั่นทองแท้ไม่แพ้ไฟ  (Read 1267 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Reporter

  • Gold Member
  • *
  • Posts: 1093
  • Karma: +8/-0
  • Gender: Male
    • ซ่อมคอมเชียงใหม่

“ตุ๊ก วิมลเลขา” เผย “ต้อย แอ็คเนอร์” กลับคำให้การเป็นเรื่องธรรมดา ยันไม่ถือสาที่กล่าวอ้างว่า ทนายในสำนักของตนเขียนสคริปท์ให้แถลงข่าวโกหก บอกเป็นสิทธิทางกฎหมายที่สามารถทำได้ มั่นใจทองแท้ไม่แพ้ไฟ ยินดีที่ทั้งสองฝ่ายจบกันได้ด้วยดี


       
       หลังจากที่ “ต้อย แอ็คเนอร์” เกรียงศักดิ์ สกุลชัย บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มายาแชนแนล ยอมออกมาแถลงข่าวขอโทษ “โอ๋ เพชรคัมภรณ์ งามชอชัยพฤกษ์” นักศึกษาฝึกงาน กรณีที่ถูกฝ่ายหญิงแจ้งความข้อหากระทำอนาจาร จนสามารถยุติข้อพิพาทดังกล่าวได้ โดยบรรณาธิการชื่อดังได้กล่าวว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดจากอุบัติสะดุดล้มทำให้ถลาเข้าไปกอดเพื่อหาหลักยึด จนทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิด
       
       ส่วนเรื่องที่ตนเองเปิดแถลงข่าวตอบโต้ในช่วงแรกกล่าวหาว่า การแจ้งความของผู้เสียหายน่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังสวนทางกับสิ่งที่แถลงข้อโทษนั้น เจ้าตัวอ้างว่า เป็นการพูดไปตามสคริปท์ที่ทนายความจัดให้ และขณะนี้ได้เกิดการผิดใจกับทนายความ ทางด้าน “ตุ๊ก วิมลเลขา ศิริชัยราวรรณ” ผู้บริหารสำนักงานทนายความดาราที่ต้อย แอ็คเนอร์ ไปขอคำปรึกษาก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นธรรมดาที่ลูกความจะพูดกลับไปกลับมาถือเป็นสิทธิทางกฎหมาย ยันไม่ถือสาเพราะเข้าใจดีว่าต้อย แอ็คเนอร์ คงจะวิตกกังวล
       
       “คดีของพี่ต้อยกับน้องโอ๋กฎหมายเขาเปิดทางให้อยู่แล้ว คือไม่ถึงกับคอขาดบาดตาย ที่ปรึกษาก็มีหน้าที่จะให้เขาเข้าใจกันได้ยังไง ถ้าเข้าใจกันไม่ได้ก็สู้กันด้วยพยานหลักฐาน ถ้าเข้าใจกันได้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ควรทำให้ตรงกัน อย่างกรณีนี้พี่ต้อยก็เข้ามาปรึกษาและก็เล่าความจริงให้ฟัง เราก็พูดคุยกัน แต่ทีนี้มันมีเรื่องที่ว่าไม่น่าจะเกิดเหตุอย่างนี้ และมันเป็นกระแสสังคมที่เขารู้สึกกลัว ทำให้หลายๆ คนกลัวว่า ผู้บังคับบัญชาจะเป็นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่าซึ่งก็ไม่น่าจะใช่ เพราะมีน้องกลุ่มอื่นๆ ที่ตุ๊กก็ฝากให้เข้าไปทำงานที่นี่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่พอดีมีปัญหากับน้องโอ๋ซึ่งอาจจะเกิดจากการเข้าใจผิด”
       
       “และมันมีอีกข้อหนึ่งเรื่องของตัวจำเลย ถ้าถูกแจ้งข้อหาไปแล้วและเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลเขาจะกลายเป็นจำเลย ซึ่งการเป็นจำเลยกฎหมายก็ยังเปิดโอกาสให้เขาพูดอะไรก็ได้ แต่คนสุดท้ายที่จะเดือดร้อนก็คือเขา ถ้าเกิดเขาถูกลงโทษเขาจะต้องถูกจำกัดเสรีภาพฉะนั้นกฎหมายให้โอกาสเขาเสมอ เราทำงานตรงนี้เราเห็นมาตลอด บางคดีเป็นคดีที่ยอมความไม่ได้แต่ก็ยังมีการไกล่เกลี่ยกัน ศาลหรือนักกฎหมายทุกคนไม่อยากเห็นทุกคนทะเลาะกันมันไม่วินไง แต่อย่างนี้มันวินด้วยกันทั้งคู่ เขาเข้าใจกันดีก็จบกันไป”
       
       “ที่ปรึกษาทางกฎหมายไม่มีปัญหาอะไรเลย บางทีสภาวการณ์ที่ผู้ต้องหาเขาถูกกดดันเพราะคดีที่สื่อมวลชนให้ความสนเขาจะกดดันเป็นทวีคูณ การที่เขากลับไปกลับมาเป็นเรื่องปกติ เราไม่ได้ติดใจเพราะรู้ว่าเป็นธรรมดาขอให้ตัวเจ้าของเรื่องเขาเข้าใจกันก็พอแล้ว ที่ปรึกษาทางกฏหมายไม่ใช่ตัวเอกของเรื่องก็ไม่ควรมาต่อยอดให้มันเป็นเรื่องเป็นราว”
       
       ไม่ขอเปิดเผยว่าขณะที่ “ต้อย แอ็คเนอร์” เข้ามาปรึกษาเรื่องคดี “ยอมรับ” หรือ “ปฏิเสธ” การกระทำอนาจารกับนักศึกษาคู่กรณี
       “ตอนปรึกษาเล่าความจริง ขออนุญาตไม่ย้อนความจริงไปตรงนั้นก็แล้วกัน ถ้าจะพูดอย่างนั้นจะต้องไปถึงชั้นศาลแล้วถ้าเขาจะสู้กัน เมื่อเขาจบแบบนี้แล้วมันก็ไม่ควรมีการย้อนว่าใครผิด ใครถูก ใครโกหก หรือใครอะไรยังไงมันจบแบบการไกล่เกลี่ยที่จะวินๆ ด้วยกันทั้งคู่”
       
       เผยถึงสาเหตุที่ทำให้ “ต้อย แอ็คเนอร์” พลิกยอมขอขมา “โอ๋” ทั้งทีก่อนหน้านี้แถลงข่าวตอบโต้ดุเดือด ซ้ำยังแฉว่าอาจมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง
       “เขาก็ปรึกษาเรามาเรื่อยๆ ซึ่งมันมีสองทางให้เลือกคือ จะสู้กันไปถึงศาลเลยไหมถ้าเรามั่นใจ ซึ่งตรงนั้นเราก็บอกว่า มันมีแค่คนแพ้กับคนชนะ อีกทางหนึ่งก็คือลองมาคุยกันเพราะคดีไม่ได้หนักหนาสาหัสมันไม่ได้มีใครตาย ก็มาลองคุยกันมาปรับความเข้าใจมันอาจเป็นความเข้าใจผิดก็ได้ ซึ่งตอนแรกทางพี่ต้อยเขาก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนเขาก็สวนไปก็จะสู้ คิดว่าตอนแรกทุกคนก็มีอารมณ์เหมือนกันหมดก็อาจจะยังคุยไม่ลงตัว ต่างฝ่ายต่างมีอารมณ์โกรธอยู่ ก็คงจะเป็นที่มาของการแถลง สื่อเองก็ตามข่าวเพื่อรายงานให้ประชาชนทราบ คือเขาจะแถลงยังไงก็ได้ คือเวลาสู้กับเวลาคุยกันมันจะไม่มาเอาหรอกว่า เธอผิดฉันถูก พูดอย่างนั้นก็ไม่จบอีก”
       
       “คือนอกจากเขาจะโดนความกดดันจากสังคมแล้วทางครอบครัวก็ไม่มีความสุข เขาก็เล่าสิ่งที่คับข้องใจให้ฟัง มันเหมือนกับว่าชนะแล้วได้อะไรกับสังคมนี้ มันสร้างแผลในใจให้กับทุกฝ่าย ฝ่ายหญิงก็มีแผลเหมือนกัน เราก็มีแผล ครอบครัวก็มีแผลเหมือนกัน ทั้งๆ ที่รูปคดีสู้ได้นะ แต่เราคิดว่าไม่เอาดีกว่าก็ให้เวลาเขาไปคิด เราเองก็แนะนำและสถานการณ์มันก็พาไป ทางลูกเขาก็โดนเพื่อนล้อว่าพ่อมีคดีแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นจะสู้ไปทำไม ก็มานั่งวิเคราะห์และก็ให้เวลาลูกความในการนิ่งและตัดสินใจว่าเขาเลือกจะไปแบบไหน”
       
       “ให้เขาตัดสินใจเอง ถ้าเขาตัดสินใจจะพูดคุยเขาก็ต้องพูดคุยกันเอง บางคดีเขาจะทนายอย่าพึ่งนะให้ลูกความคุยกันก่อน เขาก็ได้มีเวลาคุยกันเองก็ปรับความเข้าใจกัน เข้าใจผิดกันหรืออย่างไรก็ว่ากันไป หน้าที่ของทนายมันมีตรงชั้นสอบสวนตำรวจหรือศาล และถ้าเป็นข้างนอกก็มาดูอีกทีว่าจบกันจริงๆ แล้วนะ ดูความเรียบร้อยในภาพรวม”
       
       รับวันที่ “ต้อย แอ็คเนอร์” แถลงข่าวตอบโต้ “โอ๋” เป็นที่ปรึกษาให้แต่จะตัดสินใจอย่างไรขึ้นอยู่กับลูกความ
       “ก็ไม่ถึงกับปรึกษาต่อหน้าเราก็คอยดูรูปการณ์อยู่ก็แล้วแต่เขา ท้ายที่สุดแล้วที่ปรึกษาจะคอยช่วยเหลือดูแลว่ามันมีตรงไหนที่ติดขัด แต่คนที่ตัดสินใจที่สุดคือตัวความไม่ใช่ตัวที่ปรึกษา”
       
       การที่ “ต้อย แอ็คเนอร์” กลับลำออกมาขอโทษ “โอ๋” โดยอ้างว่าสิ่งที่เคยแถงแถลงข่าวตอบโต้ครั้งก่อนเป็นสคริปท์ที่ทางนายความจัดให้นั้น ทาง “ตุ๊ก วิมลเลขา” บอกว่า “ไม่ถือสา”
       “คือฟังแล้วมันก็เหมือนกับที่เล่าไปแล้วคือ บางทีลูกความเขาอยู่ในสภาวะที่อาจจะพูดอะไรก็ได้เราก็ไม่ถือสา เราอะไรก็ได้ถ้าเขาจบกันได้ด้วยดีหมดหน้าที่เราแล้วเราก็โอเคไม่ถือสาอะไรทั้งสิ้น”
       
       ไม่ถือสานี่ สรุปว่ามีสคริปท์หรือเปล่า หรือเป็นสิ่งที่เขาพูดเอง ?
       “ตัวความเขาจะตัดสินใจเองเวลาเขาจะทำอะไร เรามีหน้าที่แค่ประคองเขาว่า มันจะเป็นแบบนี้นะ มันจะมีผลอย่างนี้นะ (งั้นก็แปลว่าวันนั้นเขาก็แถลงเองไม่มีสคริป) การพูดตอนนั้นคงเป็นการพูดที่จะดำเนินการต่อไป ทีนี้เอาอย่างนี้ประเด็นสุดท้ายก็คือ ตอนนี้มันจบแล้วก็หมดหน้าที่เราแล้วก็ไม่น่ามีอะไร สังคมนี้มันมีอะไรที่ต้องไปช่วยเหลือดูแลกันอีกเยอะ ย้อนศรมันไม่เป็นสาระแล้วล่ะ ทางเราเองก็ไม่ได้ติดใจ”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)