เอชทีซี (HTC) หุ้นดิ่งต่ำสุดในรอบ 7 ปีหลังประกาศรายได้ไตรมาส 2 ปี 2013 พลาดเป้า ทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทสูญไปมากกว่า 395 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท) แม้ว่าเอชทีซีจะประกาศกำไรเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เอชทีซีประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2013 ว่าสามารถทำกำไร 1.25 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 1.25 พันล้านบาท) ถือว่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าเอชทีซีควรทำกำไรได้ 2 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน สาเหตุที่ทำให้เอชทีซีทำรายได้พลาดเป้าไปมากเช่นนี้คือปัญหาที่เอชทีซีพบในการเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุด “เอชทีซีวัน (HTC One)” ซึ่งทำให้เอชทีซีไม่สามารถวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ได้ตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม
ปัญหาการวางจำหน่ายสมาร์ทโฟน “เอชทีซีวัน” ทำให้กำไรของเอชทีซีลดลงมากกว่า 83% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2012 ทั้งหมดนี้ส่งผลให้นักลงทุนไม่มั่นใจการทำงานของเอชทีซี จึงเทขายและทำให้มูลค่าหุ้นของเอชทีซีต่ำลงมากกว่า 6.9% แตะระดับ 189 ดอลลาร์ไต้หวัน ถือเป็นระดับราคาที่ต่ำที่สุดของเอชทีซีนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2005
มูลค่าตลาดของเอชทีซีในขณะนี้ (คำนวณจากการนำราคาหุ้นมาคูณกับจำนวนหุ้น) คือ 1.6 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวัน เท่ากับมูลค่าตลาดของเอชทีซีลดต่ำลงมากกว่า 395 ล้านเหรียญสหรัฐทันทีในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม โดยรายงานจากวอลล์สตรีทเจอร์นัล (Wall Street Journal) อ้างความเห็นจากนักวิเคราะห์หลายรายที่เชื่อว่าหุ้นเอชทีซีอาจจะตกต่ำได้มากกว่านี้อีก ซึ่งเป็นไปได้ที่จะเคลื่อนไหวในช่วง 180-290 ดอลลาร์ไต้หวัน
อย่างไรก็ตาม สถานบันการเงินอย่างมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) เชื่อว่าหุ้นเอชทีซีจะตกต่ำลงถึงระดับ 143 เหรียญ โดยมีโอกาสฟื้นตัวเพียง 199 เหรียญเท่านั้น ทั้งหมดนี้มอร์แกน สแตนลีย์ให้เหตุผลว่าเอชทีซีมีแนวโน้มที่จะซบเซาในระยะยาว เนื่องจากการไม่สามารถโกยวิกฤตศรัทธาได้แม้จะเปิดตัวเอชทีซีวันแล้ว
ความไม่เชื่อมั่นนี้เกิดขึ้นแม้ว่าเอชทีซีจะประกาศกำไรมากขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (ไตรมาส 1 ปี 2013) ซึ่งเป็นไตรมาสที่เอชทีซีทำกำไรได้ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยสามารถทำกำไรเพียง 85 ล้านดอลลาร์ไต้หวันเท่านั้น และทำรายได้รวมเพียง 4.28 หมื่นล้านดอลลาร์ไต้หวัน สำหรับไตรมาส 2 ที่เพิ่งผ่านไป เอชทีซีสามารถทำกำไรมากขึ้นเพราะสมาร์ทโฟนเอชทีซีวันสามารถจำหน่ายได้มากกว่า 5 ล้านเครื่องเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ยอดขายดังกล่าวกลับชะลอตัวในเดือนมิถุนายน
เอชทีซีไม่ใช่ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายเดียวที่ถูกคำคาดการณ์ของนักวิเคราะห์กดดัน คู่แข่งอย่างซัมซุง (Samsung) ที่ประกาศว่าสามารถทำกำไรมากกว่า 8.3 พันล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาส 2 ปี 2013 ที่ผ่านมาก็ถือว่าต่ำกว่าคาดการณ์เช่นกัน ผลคือแม้ซัมซุงจะประกาศกำไรเติบโตมากกว่า 47% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่แล้ว แต่มูลค่าหุ้นของซัมซุงก็ยังคงลดลงมากกว่า 4% ในวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม
ที่มา: manager.co.th