เม็ก วิตแมน (Meg Whitman) ซีอีโอเอชพียืนยันแผนการรวมแผนกธุรกิจพีซีและงานพิมพ์เป็นหนึ่งเดียว
เอชพี (Hewlett-Packard) ประกาศยืนยันว่ากำลังหาทางรวมธุรกิจงานพิมพ์เข้ากับแผนกพีซีจริงตามรายงานข่าว ปัดหวังลดค่าใช้จ่ายรับตลาดพีซีที่เริ่มอิ่มตัว แต่ยกความคล่องตัวเป็นจุดประสงค์หลัก เม็ก วิตแมน (Meg Whitman) ซีอีโอเอชพี กล่าวยืนยันกับสื่อต่างประเทศว่าเอชพีกำลังปรับโครงสร้างองค์กรโดยรวมแผนกธุรกิจงานพิมพ์และพีซีให้เป็นแผนกเดียว โดยให้รายละเอียดว่า กลุ่มธุรกิจงานพิมพ์และภาพ Imaging and Printing Group (IPG) และกลุ่มธุรกิจพีซี Personal Systems Group (PSG) จะถูกรวมและเรียกเป็นชื่อหน่วยธุรกิจใหม่ว่า Printing and Personal Systems Group ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุมของท็อดด์ แบรดเลย์ (Todd Bradley) รองประธานอาวุโสซึ่งคุมกลุ่ม PSG มาตั้งแต่ปี 2005
"การรวมกันจะทำให้เอชพีสามารถพา 2 ธุรกิจที่เอชพีเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดขณะนี้ให้เติบโตไปพร้อมกัน"
ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์ AllThingsD.com รายงานข่าวลือแผนปรับโครงสร้างบริษัทของเอชพีไว้ตั้งแต่วันอังคารที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา แม้ในเวลานั้นเอชพีจะยังไม่ออกมาให้ความเห็นตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ แต่เพราะนาทีนี้ยอดจำหน่ายเครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์ซึ่งเคยเป็นแหล่งรายได้มหาศาลของเอชพีเริ่มลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับยอดจำหน่ายพีซีทรงตัวที่เริ่มส่อแววส่งผลกระทบกับเอชพีในระยะยาว ล้วนทำให้นักสังเกตการณ์เชื่อว่าข่าวลือนี้มีความน่าเชื่อถือสูง
ตลาดเครื่องพิมพ์และหมึกที่ทำเงินให้เอชพีไม่มากเท่าที่ควรนั้นเป็นเพราะความต้องการที่ลดลงและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดพีซีนั้นไม่เติบโตอย่างที่ผ่านมาเพราะผู้บริโภคบางส่วนหันไปหาสินค้าที่สดใหม่กว่าอย่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงปัจจัยภายนอก เอชพียังต้องผจญกับปัจจัยภายในองค์กรซึ่งซีอีโอ เม็ก วิตแมน (Meg Whitman) เคยกล่าวถึงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ครั้งนั้นซีอีโอวิตแมนยอมรับว่า เอชพีไม่ได้ลงทุนอย่างที่ควรจะทำในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทไม่ได้เป็นผู้นำเทรนด์ตลาดและไม่ได้เป็นที่คาดหวังของผู้บริโภค โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าทั้งหมดเป็นสาเหตุที่ทำให้รายได้และกำไรของเอชพีลดลงในวันนี้ ซึ่งแม้จะเจ็บปวดแต่ก็เป็นความจริงที่ผู้บริหารเอชพีกล้ายอมรับ
ซีอีโอวิตแมนนั้นขึ้นกุมบังเหียนเอชพีตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา แทนลีโอ อโปเธอร์เกอร์ (Leo Apotheker) ซีอีโอคนเก่าซึ่งดำรงตำแหน่งเพียง 11 เดือนก็ถูกปลด แน่นอนว่าคำกล่าวของวิตแมนสะท้อนถึงปัญหาที่มีในองค์กรอย่างชัดเจน โดยวิตแมนนั้นเป็นซีอีโอรายที่ 3 ของเอชพีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเอชพีก่อนหน้านี้คือการประกาศขอเวลากู้สถานการณ์บริษัทอย่างจริงจัง โดยเอชพีประกาศไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่าอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการปรับโครงสร้างบริษัท จุดนี้ทำให้สื่อต่างประเทศเชื่อว่าการรวมแผนกพีซีและเครื่องพิมพ์จะเป็นส่วนหนึ่งในแผนนี้ด้วย ซึ่งผลที่ตามมาคือค่าใช้จ่ายที่ลดลงของเอชพี แต่ก็อาจจะทำให้เกิดการประกาศลอยแพพนักงานครั้งใหญ่ตามมา เนื่องจากทั้ง 2 แผนกของเอชพีเป็นหน่วยงานใหญ่ที่ทำรายได้ให้เอชพีเกิน 50% ของรายรับรวม 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสแรกที่ผ่านมา
การสำรวจตลาดพบว่า เอชพีเป็นบริษัทอันดับ 1 ทั้งในตลาดพีซีและงานพิมพ์ แต่มีแนวโน้มส่วนแบ่งตลาดหรือมาร์เก็ตแชร์น้อยลงอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลประจำไตรมาส 4 ปี 2011 พบว่าเอชพีมีส่วนแบ่งตลาดงานพิมพ์ราว 39.4% ขณะที่มีส่วนแบ่งในตลาดพีซี 16% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีอยู่ 42.5% และ 19%
****พีซีครึ่งปีหลังโต
การประกาศรวมแผนกธุรกิจของเอชพีเกิดขึ้นพร้อมกับที่บริษัทวิจัยไอดีซี (IDC) เผยผลการสำรวจตลาดพีซีโลกประจำปี 2012 โดยไอดีซีเชื่อว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์เวอร์ชันใหม่ที่มีข่าวลือว่าจะเปิดตลาดปลายปีอย่าง Windows 8 จะช่วยดันให้ยอดจำหน่ายคอมพิวเตอร์พีซีเติบโตขึ้นช่วงปลายปีนี้อีก 5% แม้จะดีกว่าเดิมแต่ก็ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับอัตราเติบโตของพีซีที่เป็นเลข 2 หลักมาตลอด
ตัวเลข 5% นี้ถือว่าดีกว่าอัตราเติบโตของตลาดพีซีช่วงปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 2% เท่านั้น ตัวเลขนี้เป็นผลจากการหักล้างกันของการเติบโตที่เกิดขึ้นในตลาดเกิดใหม่ กับภาวะยอดขายพีซีตกต่ำถึง 9% ในตลาดพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯและยุโรปตะวันออก ซึ่งเป็นประเทศที่ผู้บริโภคหันไปให้ความสำคัญกับสินค้าใหม่อย่างแท็บเล็ตมากกว่า
ไอดีซีมองว่าในปีหน้า (2013) ผู้ผลิตพีซีอย่างเอชพี รวมถึงเดลล์ โซนี่ เลอโนโว และรายอื่นๆจะพบกับความท้าทายในตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กบางพิเศษหรือ ultrabook ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคละสายตาจากแท็บเล็ต แล้วกลับมาหาคอมพิวเตอร์พีซีพกพาระบบปฏิบัติการ Windows 8 เช่นเดิม โดยการขาดแคลนฮาร์ดไดร์ฟจากวิกฤติน้ำท่วมในไทย จะยังเป็นหนึ่งในความท้าทายที่อาจทำให้ยอดจำหน่ายพีซีไม่เข้าเป้าเท่าที่ควร
Company Related Link :
HP
ที่มา: manager.co.th