Author Topic: เอชพีจับมือเอเอ็มดีลุยโน้ตบุ๊กบางเบา  (Read 885 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


เอชพีผนึกเอเอ็มดี เปิดไลน์ผลิตภัณฑ์ครบเซต คุยครั้งแรกที่มีโน้ตบุ๊กบางเบาราคาต่ำกว่า 2 หมื่น เชื่อตลาดปีนี้มาแน่ คาดตลาดขยายแตะ 20% ด้านเอเอ็มดีเพิ่มงบการตลาด 30% สร้างตลาด AMD Fusion
       
       นายพงศ์ ธวัช พิเชษฐเลอมานวงศ์ ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์และการตลาด กลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนล ซิสเต็มส์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด หรือเอชพี กล่าวว่า จากสภาพตลาดคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยที่ยังคงมีกระแสตอบรับในทางที่ดีทั้งที่เป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่เป็นออลอินวันและสแตนด์อโลน รวมถึงไปโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์แบบบางเบาหรือ Thin & Light จากไอดีซีระบุว่า ปีนี้ขนาดตลาดโดยรวมจะมีประมาณ 3.9 ล้านเครื่อง ประกอบกับเป็นการตอกย้ำถึงทิศทางที่ทางเอชพียังคงดำเนินธุรกิจทางด้านพีซีต่อจึงได้วางตลาดไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ออลอินวันและโน้ตบุ๊กที่บางเบา ที่ใช้เทคโนโลยีประมวลผลข้อมูล AMD Fusion ทั้งหมด
       
       ปัจจุบัน เอชพีถือเป็นผู้นำตลาดในส่วนที่เป็นคอมพิวเตอร์แบบออลอินวัน ด้วยส่วนแบ่งตลาด 40% ในขณะที่คอมพิวเตอร์แบบบางเบา DM1 ที่เปิดตัวในครั้งนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ทางเอชพีจะโฟกัสเป็นพิเศษ โดยเน้นการทำตลาดไปยังกลุ่มวัยรุ่นและนักศึกษาที่ต้องการเครื่องที่มีดีไซน์และประสิทธิภาพควบคู่กัน ในราคาเพียง 15,900 บาท ซึ่งต่างจากในอดีตที่โน้ตบุ๊กประเภทนี้จะมีราคาที่สูงประมาณ 2-3 หมื่นบาท
       
       “ตลาดของ DM1 จะอยู่ระหว่างเน็ตบุ๊กที่เน้นความเบาและใช้งานที่นาน กับโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง และจากการที่ใช้ซีพียูของเอเอ็มดีทำให้เอชพีสามารถทำราคาโน้ตบุ๊กในเซกเมนต์นี้ลงมาได้ต่ำกว่า 2 หมื่นบาท จากปกติต้องอยู่ที่ระดับราคาเกือบๆ 3 หมื่นบาท”
       
       นายพงศ์ธวัช ยอมรับว่า ตลาดของคอมพิวเตอร์แบบบางเบานั้น ในประเทศไทยยังมีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก แต่จากพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ที่เป็นโมบิลิตีเพิ่มขึ้นทำให้เชื่อว่า ตลาดส่วนนี้จะมีประมาณ 10% ของตลาดคอนซูเมอร์โน้ตบุ๊กที่ปีนี้คาดว่า มีประมาณ 2.4-2.5 ล้านเครื่อง และน่าจะเพิ่มเป็น 20% ได้ภายในปีหน้า


นายจักรกฤช วัชระศักดิ์ศิลป์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอเอ็มดี ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือกับเอชพีซึ่งถือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์อันดับ 2 รองจากเอเซอร์ที่มีการนำโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ที่ใช้ซีพียูของเอเอ็มดีเข้ามาทำตลาด ซึ่งมีส่วนผลักดันให้เอเอ็มดีมีส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศไทยจากผลสำรวจของไอดีซีประจำเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เอเอ็มดีมีส่วนแบ่งถึง 20% ซึ่งถือว่ามีอัตราการเติบโตแบบก้าววกระโดดจากเมื่อครั้งที่เอเอ็มดีร่วมมือกับเอชพีในการผลักดันโน้ตบุ๊กที่ใช้เอเอ็มดีเมื่อ 3 ปีที่แล้วที่มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์
       
       เพื่อเป็นการผลักดันตลาดโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยี AMD Fusion ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการชิปเซตทางด้านกราฟิกมาใส่ในซีพียู ขนาดที่คู่แข่งอย่างอินเทลก็มีเช่นกัน แต่กลับไม่สามารถแสดงผลคุณภาพแบบเอชดีได้ดีเท่ากับของเอเอ็มดีบนวินโดวส์ 7 ซึ่งตลาดยังไม่ค่อยมีคนรู้ในเรื่องนี้มากนัก จึงได้มีแผนที่จะโปรโมตจุดเด่นดังกล่าวให้กับตลาดในประเทศไทยให้รู้กันมากขึ้น
       
       นายจักรกฤช กล่าวว่า เมื่อประมาณไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ทางเอเอ็มดีได้เพิ่มงบกิจกรรมการตลาดในการกระตุ้นตลาดเพิ่มขึ้น 20-30% จากงบการตลาดที่ใช้อยู่ทุกปี สิ่งที่เอเอ็มดีเริ่มทำไปบ้างแล้วก็คือ 1. การเพิ่มบุคลากรกว่า 10 คน ที่เข้าไปให้ความรู้ รวมถึงการอบรมเกี่ยวกับเทคโนโลยี AMD Fusion ให้กับพนักงานขายของ 6 พาร์ตเนอร์รายใหญ่ เช่น บานาน่าไอที ไอทีซิตี้ ฮาร์ดแวร์เฮาส์ ฯลฯ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ และจะขยายพาร์ทเนอร์อีกไม่ต่ำกว่า 20-30 รายในต่างจังหวัด 2.ทำการเพิ่มแรงจูงใจในการขายให้กับพาร์ตเนอร์ด้วยค่าตอบแทนในการขายโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ที่ใช้ซีพียู AMD Fusion
       
       “แต่ก่อนนี้ เอเอ็มดีมักจะทำกิจกรรมการตลาดผ่านทางช่องทางจัดจำหน่าย ไม่ได้ลงถึงกลุ่มคอนซูเมอร์แบบนี้ ซึ่งจากการที่เริ่มดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าวผลตอบรับในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ยอดขายของพาร์ทเนอร์เติบโตขึ้นถึง 70%”
       
       นายจักรกฤช กล่าวอีกว่า ตลาดโน้ตบุ๊กแบบบางเบาน่าจะบูมในตลาดประเทศไทยราวๆ ปีหน้า ซึ่งถือเป็นเซกเมนต์ใหม่ เป็นตลาดของผู้ใช้ที่เคยใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์มาแล้ว เนื่องจากผู้เริ่มต้นซื้อโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์มาใช้งานยังคงมีความต้องการโน้ตบุ๊กที่มีซีดี-รอมอยู่ ซึ่งคงจะต้องใช้เวลาเรียนรู้พอสมควร แต่ถ้าหากมีระบบสื่อสารที่ดีขึ้น อาทิ 3Gหรืออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากขึ้น โอกาสที่ผู้ใช้จะหันมาใช้ก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย
       
       Company Related Link :
       HP

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)