Author Topic: อันเนื่องจากเพลง "คันหู" : คันหูบนแต่ดันเกาหูล่าง/ไก่ อำนาจ  (Read 2126 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


     ทันทีที่เห็นพาดหัวข่าว "สุดเสื่อม! โผล่อีกเพลง “คันหู” เนื้อเพลงส่อเซ็กซ์ ท่าเต้นสุดเสียว วธ.เต้นสั่งเร่งสอบ" ที่เว็บไซต์ เมเนอเจอร์ แห่งนี้นำเสนอผมก็อดที่จะอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้
       
          เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ในวงเล่าสมาชิกของเราได้เอาประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นหัวข้อพูดคุยกันอย่างออกรสสนุกสนาน
       
          โดยเฉพาะท่าเต้นของนักร้องสาว ที่ปากเธอก็ร้องว่าคันหู แต่เธอกลับเกาเป้าแล้วร้องซี้ดอูยๆ ทำท่าเสียวซ่านอย่างกับถูกปั่นหูซะอย่างนั้น 555

       ว่ากันถึงเพลง "คันหู" เพลงนี้มีออกมานานพอสมควรแล้วครับ เป็นผลงานของนักร้องลูกทุ่งหญิง "หลิว วาริสสรา" ที่มีชื่อเสียงขึ้นมาจากเพลง คุณแม่ขอร้อง ในอัลบั้ม "กล้าๆ กลัวๆ" เมื่อครั้งอยู่กับค่าย ท็อปไลน์ มิวสิค ซึ่งนอกจากเพลงที่ว่าแล้ว เธอยังมีเพลงอื่นๆ ที่มีชื่อเพลงและเนื้อหาในลักษณะคล้ายๆ กันทั้ง เพลง "แฟนใครใหญ่จัง" เพลง "เอาก็เอา"
       
          รวมทั้ง เพลงฝันประหลาด ที่มีเนื้อร้องบางส่วนบางท่อนว่า...งูอะไรตัวดำ ปิ๊ดปี๊ ชูหัวขึ้นที หัวมันก็ส่าย เลื้อยผ่านไปทาง หน้าอก คิดว่าจะฉก เห็นยกหัว ขึ้นส่าย หลับตาไม่กล้า มองดู หนูเลย ไม่รู้ ว่างูจะฉก อะไร...ไม่รู้งูอะไร นั่นแม่ ตรงหัวมีแผล คงโดนตี มาแต่ไกล ลำตัวย่น ย่น ยู่ ยู่ มองดูไม่รู้เลยว่าเป็นงูอะไร...ภาพฝัน ยังติด คิดถึงงู หัวใหญ่ หลับตา นึกวาดภาพงู หนูอยาก จะรู้ พิษงูมาก เท่าไร ฯ
       
          จริงๆ ต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ ครับสำหรับวงการเพลงลูกทุ่งบ้านเราที่จะมีเพลงที่มีเนื้อหาในลักษณะสองแง่สองง่ามเช่นนี้ออกมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน อย่างเพลงผู้ชายในฝัน กับท่อนที่ร้องว่า...เสียบหูให้ตั้งหลายหน เสียบหล่นเสียบหล่นตั้งห้าหกที ต๊กใจตื่นตอนตีสี่ แหมเสียดายจัง...ที่เราฟังกันจนคุ้นหู เพลงหมากัด ของคุณเอกชัย ศรีวิชัย นั่นก็ใช่ หรือจะเป็นเพลง ขายหอย ของคุณอภิรดี เฉิดฉาย นี่ก็อีก
       
          และก็ไม่ใช่แค่เพลงลูกทุ่งเท่านั้น แม้แต่เพลงพื้นบ้านประเภท อีแซว ลำตัด ฯ สมัยรุ่นปู่ย่า-ตาทวดของเราก็ใช้เรื่องราวทำนองนี้มาเป็นความบันเทิงผ่อนคลายอารมณ์ตลอดจนความเมื่อยล้าของร่างกายในการทำงานจากท้องไร่ท้องนาเช่นกัน
       
          อาจจะแตกต่างกันบ้างก็ที่ว่า ยุคก่อนๆ เขาร้องเขาแซวกันพอทะลึ่งเล็กๆ ทะเล้นน้อยๆ เอาพอให้ขำๆ ไม่มีถึงขนาดที่ว่าจะมาแต่งตัวใส่กางเกงเสียสั้นจู๋ดูแล้วไม่ต่างอะไรจากกางเกงใน เต้นแหกแข้งแหกขา ทำท่าเกาเป้า แอ่นก้น กันให้เห็นโต้งๆ แบบที่นักร้องหญิงวงเทอร์โบทำให้เห็นกันในคลิปตามข่าว
       
          เรียนตามตรงผมเองไม่ค่อยจะกังวลเท่าไหร่ครับในส่วนของเนื้อร้องประเภทสองแง่สองง่าม เช่นนี้ เพราะโดยส่วนตัวผมคิดว่ามันอยู่ที่การนำเสนอมากกว่าว่าจะนำเสนอกันออกมาในลักษณะไหน? ในสถานที่ใด?
       
          เอากันแค่พอขำๆ หรือว่าออกแนวหื่นไปเลย
       
          อย่างเพลง กินตับ ของคุณเท่ง เถิดเทิง ถ้าพิจารณาแล้วเนื้อร้องก็สองแง่สองง่ามอยู่พอสมควร แต่ฟังทีไรก็ออกไปแนวฮาๆ ดิ้นกันชักหงิกชักงอมากกว่าที่จะไปคิดถึงเรื่องอย่างว่า
       
          ถ้าทางกระทรวงวัฒธนธรรมฯ(วธ.)จะห่วงเรื่องนี้สู้เอาเวลาไปห่วงเรื่องอื่นดีกว่า
       
          เพราะปัจจุบันต้องบอกว่ามีเยอะเลยครับสำหรับวงดนตรีประเภทวงเทอร์โบ หรืออีกวงที่ดังมากๆ เป็นที่ถูกใจของบรรดาเหล่าวัยรุ่นเขตกรุงเทพฯ รอบนอกและปริมณฑล อย่าง วาเลนไทน์ ไปจนถึงบรรดาวงดนตรีทั้งที่เป็นวง อิเล็คโทน, แตรวง, วงสตริง ที่รับจ้างเล่นกันในงานบวช งานแต่ง งานขึ้นบ้านใหม่ ตามต่างจังหวัดที่มักจะต้องมีนักร้องตลอดจนหางเครื่องสาวๆ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น และมีท่าเต้นในลักษณะทั้งที่ชวนร่วมเพศและร่วมเพศประเภทท่าแอ่นๆ เด้งๆ มาเป็นจุดขาย
       
          คือพวกเธอร้องเพลงลูกทุ่งก็จริงครับ แต่ท่าเต้นของพวกเธอต้องบอกว่าไม่ต่างอะไรไปจากสาวโคโยตี้หรือว่าพวกระบำจ้ำบ๊ะรูดเสาเลย
       
          หลายปีก่อนผมไปงานบวชเพื่อนที่สระบุรี ในงานเลี้ยงโต๊ะจีนก็มีการเอาวงอิเล็คโทนมาเล่น จำชื่อวงไม่ได้ครับ พอดึกๆ หน่อยบรรดาหางเครื่อง(ที่ตอนนี้พวกเธอจะไม่พอใจถ้าไปเรียกเช่นนี้แทนที่จะเรียกว่าแดนเซอร์เพราะเหมือนกับว่าเป็นการดูถูก)นั้น ถอดเสื้อ ปลดบาร์ โชว์หน้าอก เต้นกันนมดึ๋งๆ เลยครับ
       
          หรือจะเป็นเมื่อสักประมาณต้นๆ เดือนเมษาที่ผ่านมานี้เองในงานบวชญาติห่างๆ ที่สระบุรีเช่นกัน เพื่อนนาคนี่ถึงขนาดจัดหนัก อันเชิญโคโยตี้ 2 นางจากพัทยามาเต้นโชว์ นัยว่าคงจะเป็นการปลงก่อนที่จะเข้าสู่ชีวิตในผ้าเหลือง ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านลูกเล็กเด็กแดงคนเฒ่าคนแก่ที่พากันนั่งดูอย่างตาไม่กระพริบ
          บางส่วนอาจจะดูเพราะไม่เคยเห็น บางส่วนอาจจะดูไปแล้วรู้สึกปลงๆ บางส่วนอาจจะคิดว่าถ้าเป็นลูกหลานกูจะเป็นอย่างไรเนี่ย? และบางส่วนก็คงจะคิดในใจว่า อีหนูมึงแต่งตัวมึงเต้นเพลงอะไรกันวะ มีแต่เสียงตืดๆๆๆ ไม่ได้มีจังหวะจะโคนอะไรเลย ฯ
       
          เห็นผู้ชายวัยหัวดำ หัวหงอก ทั้งที่เมาและไม่เมาหลายคนควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่องถ่ายไปยังทั้งสองสาวที่กำลังร่อนเอว บดก้นลอยอยู่ในอากาศก็ไม่แปลกใจครับว่าเดี๋ยวนี้ทำไมมันถึงได้แพร่หลายกันนักสำหรับเรื่องในทำนองนี้
       
          ก็คิดดู ขนาดคนบ้านนอกแท้ๆ โชว์หรือว่าการแสดงอย่างโคโยตี้ที่สมควรจะอยู่ในสถานที่ปิดนั้น ยังมีให้พวกเขาเห็นเสียจนแทบจะชินตาเสียแล้วครับ
       
          ไม่ได้ดูของสดๆ ของแห้งๆ ทั้งวีซีดีที่ปั๊มวางขายกันให้เกลื่อนตามตลาดนัดต่าง, ทั้งคลิปที่โหลดผ่านมือถือ, ทั้งทางอินเตอร์เน็ทหรือก็มีให้เข้าถึงเพียบ
       
          ป่วยการและเสียเวลาเปล่าๆ ครับที่ทางวธ.จะมามัวแต่ใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบเกิดเรื่องขึ้นทีก็แก้กันที
       
          ก่อนอื่นลองหันกลับไปทบทวนดูสิครับว่าทำไมสังคมบ้านเราถึงนับวันจะยิ่งมีปัญหาเหล่านี้มากยิ่งขึ้น ทั้งๆ ที่ก็มีการรณรงค์โฆษณา ตลอดจนออกกฏกติกา ออกข้อห้ามอะไรต่างๆ มากมาย เช่น ห้ามขายเหล้าในงานวัด ห้ามโน่นห้ามนี่
       
          ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะเราเกาไม่ถูกที่คัน
       
          ประมาณว่าคันหูบน แต่ดันไปเกาหูล่างซะอย่างนั้น
       
          การมีกฏกติกาหรือข้อห้ามเป็นสิ่งดี แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าเราจะทำอย่างไรก็ได้ให้คนส่วนใหญ่เกิดจิตสำนึกที่จะมองได้ด้วยตนเองว่าทำอะไร ทำแค่ไหนถึงจะเหมาะสม ไม่เหมาะสม ซึ่งดูเหมือนว่าเรื่องในลักษณะนี้ในสังคมบ้านเราดูจะมีน้อยลงไปทุกทีๆ
       
          เพราะถ้ามี เราคงจะไม่มีข่าวอีหนูวัย 14-15 ไปยืนถอดเสื้อโชว์นมเต้นกลางถนนสีลมช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
       
          อย่างที่เคยเรียนไปครับว่า จริงๆ แล้วประเทศไทยเราเรื่องความทันสมัย ทั้งแฟชั่น เครื่องแต่งกาย ถนนหนทาง รถยนต์ เรื่องเทคโนโลยี เครื่องไม้เครื่องมือ การสื่อสาร ความบันเทิงต่างๆ เรา "ตามทัน" ไม่แพ้ชาติใดในโลกหรอกครับ
       
          แต่สิ่งที่เราอาจจะยังไม่มี หรือมีน้อยไม่เหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้วก็คือ การให้ "ความรู้เท่าทัน" ในสิ่งต่างๆ ที่เรารับเข้ามาโดยมองเพียงอย่างเดียวว่ามันล้ำโก้เก๋ นำสมัย เข้ากับยุคนั่นต่างหาก

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)


Related Topics

  Subject / Started by Replies Last post
0 Replies
6232 Views
Last post October 21, 2010, 05:59:35 PM
by Nick
0 Replies
7872 Views
Last post October 23, 2010, 12:51:34 PM
by Nick
0 Replies
6382 Views
Last post December 22, 2010, 09:47:59 PM
by Nick
0 Replies
4422 Views
Last post January 11, 2011, 01:45:43 PM
by Nick
0 Replies
7605 Views
Last post January 13, 2011, 04:29:26 PM
by Nick
0 Replies
5301 Views
Last post February 27, 2011, 11:13:31 PM
by Nick
0 Replies
6761 Views
Last post March 11, 2011, 04:59:35 PM
by Nick
0 Replies
3158 Views
Last post April 16, 2011, 03:17:14 PM
by Nick
0 Replies
3169 Views
Last post May 03, 2011, 02:41:58 PM
by Nick
0 Replies
3534 Views
Last post July 03, 2011, 09:25:17 AM
by Nick