Author Topic: “กันต์” รับถอนหุ้นมังกี้เซิร์ฟแล้ว เหตุไม่อยากเอาเปรียบหุ้นส่วน  (Read 836 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


“กันต์” รับถอนหุ้นมังกี้เซิร์ฟแล้ว แจงตนทำธุรกิจหลายอย่าง ทั้งร้านอาหาร และธุรกิจรองเท้า แล้วไหนจะงานในวงการ ทำให้ไม่มีเวลาดูแลเต็มที่ จึงตัดสินใจถอนหุ้น เพราะไม่อยากเอาเปรียบหุ้นส่วนคนอื่น ปัดมีปัญหากัน
       
       ธุรกิจ “มังกี้เซิร์ฟ” ที่นักแสดงหนุ่ม “กันต์ กันตถาวร” ร่วมแรงร่วมใจทำกับเพื่อนๆ กำลังไปได้สวย แถมยังขยายสาขา เตรียมตีตลาดต่างประเทศ แต่กลับมีข่าวหนุ่มกันต์ ได้ประกาศถอนหุ้นที่มีทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังมีกระแสข่าวที่นักแสดงหนุ่มถอนหุ้นนั้น เป็นเพราะความไม่ลงรอย เกิดปัญหาขัดแย้งกันทางธุรกิจ ซึ่งกับเรื่องนี้กันต์ขอเคลียร์ว่า...
       
       “เรื่องนี้คนถามเยอะมาก จริงๆ แล้วไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลยนะ แต่ว่าตอนนี้ผมถอนหุ้นออกมาแล้วนะครับ อย่างบางทีมันเกิดความเข้าใจผิด มีคนโทร.มา ทวีตมาถามว่า บูธจัดอยู่ตรงนี้แล้วพี่กันต์ล่ะหายไปไหน ก็ขอบอกเลยตรงนี้เลยว่า คือ ตอนนี้ถอนหุ้นออกมาแล้ว และไม่ได้ทำแล้วนะครับ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มันหมดสัญญาความเป็นผู้บริหาร เพราะฉะนั้นต้องบอกเลยว่าผมไม่ใช่พรีเซ็นเตอร์ ผมรับเงินเดือน”
       
       “ในเมื่อปัจจุบันมีงานเข้ามาเยอะขึ้น เรามีธุรกิจที่แตกแขนงมากขึ้น ทั้งร้านอาหารและธุรกิจรองเท้า ประกอบกับมังกี้เซิร์ฟก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ กำลังจะมีการขยายสาขา มีการออกบูธ มีการวางแพลนอะไรมากมาย แต่ไม่สามารถมีเวลาในการบริหารและดูแลได้เท่าเดิม ซึ่งผมเองละอายแก่ใจมากที่จะทำงานน้อยลง แต่รับเงินเดือนเท่าเดิม เพราะฉะนั้นก็เลยคุยกันว่า ถ้างั้นผมขอถอนตัวดีกว่า ผมไม่สามารถทำให้ดีได้ในระยะเวลาที่พร้อมกัน ผมขอทำบางอย่างให้มันดีๆ กว่า ก็เลยถอนตัวออกมา”
       
       “การที่ถอนหุ้นนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ แต่ว่าการทำงานมันต้องมีปัญหากันอยู่แล้ว เช่นทำไมกันต์ไม่มีเวลาเลย เราเถียงไม่ออกจริงๆ เพราะต้องถ่ายละคร แล้วก็ต้องดูแลธุรกิจของเราด้วย อย่างร้านอาหาร ถามว่า กระทบกับมังกี้เซิร์ฟไหม ต้องยอมรับเลยว่ากระทบจริง เพราะว่าตอนนี้ร้านอาหารกำลังจะเปิดสาขาที่สอง”
       
       “แล้วผมจะต้องทำงานไฟแนนซ์ด้วย ทำงานเรื่องการตลาดด้วย เวลามันก็จะกินเวลาของมังกี้เซิร์ฟไป แทนที่เลิกละครสี่ทุ่มจะได้เข้าไปมังกี้เซิร์ฟก็ไม่ได้เข้า ต้องมาดูร้านอาหารที่กำลังก่อสร้างอีก เพราะฉะนั้นพอรู้สึกว่าเราไม่สามารถทำตรงนั้นให้มันดีได้ทั้งหมดแล้ว ก็เลยออกมาดีกว่า”
       
       “ก็มีการคุยกันเกิดขึ้นว่าขอออกนะ แต่ก็ยังมีการรั้งอยู่เลยว่า อย่าเพิ่งออก คนที่ถือหุ้นใหญ่บอกว่าเดี๋ยวเราทำงานแทนก่อน 6 เดือน เราก็บอก 6 เดือนไม่พอ ปีนี้ผมวางแผนแล้วว่ายุ่งแน่นอน ละคร 3 เรื่อง ธุรกิจอีก 2 ธุรกิจ อันนี้คือเราเป็นหุ้นใหญ่เอง มังกี้เซิร์ฟเป็นหุ้นเล็ก มีแค่ 25 เปอร์เซ็นต์ครับ คือหนึ่งส่วนสี่ ก็ยังถือว่าเป็นหุ้นเล็ก เพราะธุรกิจร้านอาหารและรองเท้าเราเป็นหุ้นใหญ่ ก็ต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าเป็นหุ้นเล็กอีก”
       
       “ผมรู้สึกว่า มังกี้เซิร์ฟ มันอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง ผมเลยขอถอนออกมาดีกว่า ในเมื่อเราไม่สามารถทำงานให้มันดีได้ เพราะว่าตอนนี้มันเริ่มขยายไปเมืองนอก เริ่มมีการส่งออก มันต้องใช้เวลาที่มากกว่าการทำงานแบบว่า ผมเสร็จละครเข้าออฟฟิศ มันจะต้องทำงานแบบออฟฟิศกับเขาบ้างแล้ว ซึ่งผมไม่สามารถทำได้ เพราะฉะนั้นโอเค ผมก็เลยบอกว่าผมขอถอนดีกว่า หาคนที่พอผมขายหุ้นออกไปมาซื้อหุ้นแทนผมก็ได้ หรือจะดูเองทั้งหมด แล้วหาลูกน้องมาช่วย ซึ่งปัจจุบันรู้สึกว่าจะมีน้องเขาช่วยอยู่เหมือนกัน”
       
       รับเสียดายมากที่ต้องถอนหุ้นมังกี้เซิร์ฟ
       
       “เสียดายครับ ต้องยอมรับว่าเสียดายมาก ทำกันมา 2-3 ปี แล้ว ปัจจุบันมังกี้เซิร์ฟเริ่มเป็นที่รู้จัก เริ่มจับต้องได้ เริ่มมีตัวตนแล้วในตลาดของแฟชั่น ก็เสียดายทุกอย่างครับ พูดตรงๆ เสียดายเงิน เสียดายอิมเมจของแบรนด์ที่เราสร้างกันมา มันเริ่มเป็นตัวเป็นตน เริ่มเป็นลิงแล้ว จนถึงทุกวันนี้”
       
       “อีกอย่างหลายคนติดภาพไปแล้วว่าเราเป็นแบรนด์ของมังกี้เซิร์ฟ ถ้ามองอีกแง่นึง แปลว่า ผมทำงานสำเร็จนะ แต่ว่าคนยังจำได้ เพราะฉะนั้นผมยังภูมิใจกับที่ทุกคนยังรู้จักมังกี้เซิร์ฟ ปัจจุบันมังกี้เซิร์ฟยังมีอยู่ และก็จะมีอยู่ต่อไป มันคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่แค่ผมมาประกาศบอกว่าไม่ได้เป็นผู้บริหารแล้ว ไม่ได้มีส่วนอะไรกับมันแล้ว จะได้ไม่เกิดการอ้างอิงขึ้น”
       
       ยืนยันอีกครั้งว่าถอนหุ้นออกมาแบบสวยๆ ไม่ได้ผิดใจกัน
       
       “แน่นอนครับ มังกี้เซิร์ฟ มีบูธที่ไหนเรายินดีโปรโมตให้ เรายังช่วยกันจัดจำหน่าย ไม่ได้ตัดขาด มีอะไรก็คุยกันได้ แต่บอกเลยว่าเราไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับมังกี้เซิร์ฟแล้ว ถอนออกมาเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เป็นผู้บริหาร”
       
       ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงิน วางแพลนว่าจะหยุดทำงานตอนอายุ 40-50 ปี
       
       “ก็หวังว่าอยากรวย ทุกคนก็อยากรวยอยู่แล้ว กะว่า 40-50 ปี ผมไม่อยากทำงานหนักแล้ว อยากจะมีบ้านมีรถ พาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยว อยากทำงานหนักเฉพาะตอนนี้ เมื่อมีแรงก็ทำไปก่อน”
       
       “ตอนนี้มีร้านอาหารครับที่ใหญ่เลย เพื่อนดูร้านอาหารเราดูไฟแนนซ์ เพราะฉะนั้นมันจะหนักมาก ส่วนรองเท้าผมไม่กล้าเรียกมันว่าธุรกิจด้วยซ้ำ มันเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้นเอง รอดูตลาดว่าดีไหม ถ้าดีค่อยจดทะเบียนบริษัท ค่อยจดลิขสิทธิ์ครับ”
       
       ถึงธุรกิจจะรัดตัวแค่ไหน ก็ต้องหาเวลาหาคนดูแลหัวใจบ้าง
       
       “ก็ต้องมีหาบ้าง ยอมรับว่าตอนนี้มีคุยๆ อยู่ครับ แต่อย่ารู้เลยว่าเป็นใคร เขาเป็นคนนอกวงการ เราคุยกันอยู่ คือ เราทำธุรกิจรองเท้าคือร่วมกับแฟนคนนี้ แล้วก็มีเพื่อนอีกสองคนด้วย”
       
       “ยอมรับว่า กลัวว่า เราทำงานหนักแล้วจะกระทบกับความรักเหมือนกัน เพราะตั้งแต่ครั้งที่แล้ว เคยมีปัญหาแบบนี้ว่าไม่มีเวลา และเคยให้สัมภาษณ์ไปว่าจริงๆ เรายังไม่อยากมีแฟน เพราะว่ายังไม่ได้ดีขึ้นเลย มันแย่ลงด้วยซ้ำในเรื่องของเวลา แต่ก็คุยกันมาสักพักน่าจะมีความเข้าใจในระดับนึง พูดง่ายๆ ว่าตอนนี้เหมือนลองของว่าเราจะเข้าใจกันไหม จะอยู่ด้วยกันได้ไหม ปัจจุบันผมรู้สึกว่ามันน่าจะไม่มีเวลามากขึ้นกว่านี้แล้ว คงจะเป็นเท่านี้หรือยุ่งมากขึ้นกว่าเดิม ถ้ารับได้เราก็อยู่ด้วยกันได้”
       
       ยิ้มรับว่าตอนนี้กำลังแฮปปี้กับเรื่องงานและความรัก
       
       “แฮปปี้ทุกอย่างครับ ก็คือ มังกี้เซิร์ฟ ไปได้ดี ขอบอกว่าดีใจด้วยจริงๆ แต่ว่าต้องขอโทษว่าไม่สามารถทำต่อได้แล้ว เวลาไม่มีและไม่พอ ถ้าผมทำต่ออาจจะเกิดการทะเลาะกัน อันนี้คงเป็นการทะเลาะกันจริงๆ เพราะผมไม่มีเวลา ไม่สามารถทำงานแล้วรับเงินเดือนเท่าเดิมได้ ส่วนรองเท้ากับร้านอาหารกำลังดีขึ้น ผมเป็นหุ้นใหญ่ เป็นเจ้านายของหลายคน ผมก็ต้องดูแลเขา”

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)