Author Topic: ยอดขายแท็บเล็ตกระฉูด 3 เดือนทะลุ 4.5 ล้านเครื่อง  (Read 960 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

Offline Nick

  • Administrator
  • Platinum Member
  • *
  • Posts: 46028
  • Karma: +1000/-0
  • Gender: Male
  • NickCS
    • http://www.facebook.com/nickcomputerservices
    • http://www.twitter.com/nickcomputer
    • Computer Chiangmai


       การสำรวจล่าสุดพบ ยอดจัดส่งคอมพิวเตอร์พกพาหน้าจอสัมผัสทรงกระดานชนวนหรือแท็บเล็ตทั่วโลกทะลุหลัก 4.5 ล้านเครื่องเฉพาะในช่วง 3 เดือนไตรมาส 3 ของปี 2010 ที่ผ่านมา ตามคาด"ไอแพด (iPad)" แท็บเล็ตจากค่ายแอปเปิลครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ 93% โดยยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นไม่ได้สร้างผลกระทบกับตลาดอีบุ๊ก (e-book) และเน็ตบุ๊ก เพราะอุปกรณ์ทั้ง 2 ยังมีทิศทางที่ดีตลอดปี 2010
       
       บริษัทวิจัยเอบีไอรีเสิร์ช (ABI Research) เผยผลการศึกษาตลาดคอมพิวเตอร์พกพาล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเมื่อนำสัดส่วนตลาด 93% ที่เอบีไอรีเสิร์ชพบว่าเป็นยอดจำหน่ายไอแพดมาพิจารณา จะพบว่าในยอดรวมแท็บเล็ต 4.5 ล้านเครื่องที่ถูกจำหน่ายในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2010 มากกว่า 4.2 ล้านเครื่องคือไอแพด อย่างไรก็ตาม เอบีไอรีเสิร์ชมองว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าแปลกใจ เนื่องจากไอแพดนั้นไม่มีคู่แข่งจนกระทั่งค่ายอื่นเริ่มเปิดตัวแท็บเล็ตตามมาในช่วง ปลายปี
       
       สำหรับตลาดอีบุ๊ก เอบีไอรีเสิร์ชระบุว่าอีบุ๊กได้รับความนิยมมากขึ้นในตลาดโลกเพราะการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้ง"นุ๊ก (Nook)"เครื่องอ่านอีบุ๊กสีของบาร์เนสแอนด์โนเบิล รวมถึง"คินเดิล (Kindle)"เครื่องอ่านอีบุ๊กรุ่นใหม่ของอเมซอน ซึ่งมีผลทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ลดลง โดยขณะนี้ สหรัฐอเมริกาคือตลาดจำหน่ายเครื่องอ่านอีบุ๊กที่ใหญ่ที่สุด และผู้ค้าอีบุ๊กรายใหญ่ที่สุดในขณะนี้คืออเมซอน บาร์เนสแอนด์โนเบิล และโซนี่
       
       เอบีไอรีเสิร์ชย้ำว่า เน็ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กซึ่งมีขนาด ราคา และความสามารถต่ำกว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กทั่วไป เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากตลาดชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2010 โดยไตรมาส 3 ของปี 2010 ผู้ผลิตพีซีเริ่มเปิดตัวเน็ตบุ๊กรุ่นใหม่ออกสู่ตลาด ทำให้ตลาดถูกกระตุ้นหลังจากซึมเซามานาน
       
       จุดนี้เอบีไอรีเสิร์ชชี้ว่า ไตรมาสสามที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พีซีพยายามเปิดตัวเน็ตบุ๊กที่มีความสามารถมากขึ้น เช่นการใช้ชิปดูอัลคอร์ พัฒนาอุปกรณ์ให้มีความบางและเบาขึ้น สวยงามและน่าดึงดูุดยิ่งขึ้น
       
       ผลสำรวจของเอบีไอรีเสิร์ชถือเป็นการตอกย้ำความนิยมของไอแพด ซึ่งล่าสุดแอปเปิลได้ระบุว่าสามารถจำหน่ายไอแพดได้ถึง 7.3 ล้านเครื่องช่วงไตรมาสแรกของปี 2010 โดยการสำรวจครั้งนี้สอดคล้องกับผลการศึกษาของมอร์แกนสแตนเลย์ (Morgan Stanley) บริษัทวิจัยอเมริกันที่คาดว่าตลาดแท็บเล็ตโลกจะทะลุ 100 ล้านเครื่องในปี 2012 คาดว่าภายใน 12 เดือน จีนจะเป็นตลาดที่กินสัดส่วน 41% ของตลาดแท็บเล็ตโลก นำหน้าทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรปซึ่งอาจกินสัดส่วนเพียง 11% ในแต่ละตลาดเท่านั้น
       
       นอกจากแท็บเล็ต ยังมีการเปิดเผยรายงานผลการสำรวจตลาดที่น่าสนใจอื่นในวงการไอที โดยการ์ตเนอร์ (Gartner) ประกาศว่า ตลาดคอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2010 ที่ผ่านมานั้นมีการเติบโตขึ้นเล็กน้อย แต่จะยังมีแนวโน้มชะลอตัวในปี 2011
       
       การ์ตเนอร์พบว่ารายได้รวมในตลาดเซิร์ฟเวอร์ทุกประเภทนั้นเพิ่มขึ้นราว 16.4% ทั่วโลก บนอัตราเติบโตแง่จำนวนเครื่องคือ 6.5% ผลจากการอัปเกรดระบบให้เป็นไปตามสถาปัตยกรรมใหม่ของผู้ผลิตชิปอย่างอินเทลและเอเอ็มดี โดยแชมป์เบอร์หนึ่งเป็นของไอบีเอ็ม (IBM) เบื้องต้นคาดว่าไอบีเอ็มสามารถทำรายได้มากกว่า 5,200 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 35.5% ของตลาดรวม
       
       เบอร์สองคือเอชพี (HP) สัดส่วนตลาดแง่ยอดขายคือ 30.4% น้อยกว่าไอบีเอ็มแต่เอชพีมียอดจัดส่งมากกว่า โดยการสำรวจพบว่าเอชพีสามารถจำหน่ายเครื่องเซิร์ฟเวอร์ได้ 767,026 เครื่อง คิดเป็นสัดส่วน 32.2%
       
       เดลล์ (Dell) คือเบอร์สามที่สามารถจำหน่ายเซิร์ฟเวอร์ได้ 515,274 เครื่อง คิดเป็นสัดส่วน 21.6%
       
       การ์ทเนอร์ย้ำว่ารายได้จากธุรกิจคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ในทุกภูมิภาคนั้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องยกเว้นในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพื้นที่เดียวที่มีอัตราลดลงราว 4.4% ในช่วงไตรมาสปลายปีที่ผ่านมา โดยอเมริกาเหนือเป็นพื้นที่ที่ตลาดเซิร์ฟเวอร์มีอัตราการเติบโตสูงสุดคือ 24.5% ตามมาด้วยเอเชียแปซิฟิก 22.4% ละตินอเมริกา 12.3% ตบท้ายด้วยยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาที่มีสัดส่วนรวมกัน 10.4%
       
       สำหรับทั้งปี 2010 การ์เนอร์ระบุว่ารายได้ในตลาดเซิร์ฟเวอร์เติบโตขึ้นราว 13.2% บนตัวเลขการจัดส่งเครื่องที่เพิ่มขึ้น 16.8% จุดนี้เอชพีสามารถทำตัวเลขได้เติบโตสูงสุดคือ 19% มีรายได้รวมทั้งปีจากธุรกิจเซิร์ฟเวอร์คือ 15,300 ล้านเหรียญ ตามด้วยไอบีเอ็มที่ดันรายได้ให้เพิ่มขึ้นได้ 9.2% เป็น 15,000 ล้านเหรียญ

ที่มา: manager.co.th


 
Share this topic...
In a forum
(BBCode)
In a site/blog
(HTML)